คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญญาเช่า

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,266 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2064/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้ให้เช่า - แม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้เมื่อสัญญาหมดอายุ
ผู้ให้เช่าไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า เมื่อจำเลยได้ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากโจทก์จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่านั้น เมื่อสัญญาเช่าสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้จำเลยจะโต้เถียงอำนาจโจทก์ว่าไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่มีหลักฐาน การขับไล่ผู้เช่า และข้อยกเว้นการบอกเลิกสัญญา
เช่าบ้านไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้ให้เช่าขับไล่ผู้เช่าได้โดยไม่ต้องบอกเลิกตาม มาตรา 566 ซึ่งใช้ในกรณีมีหนังสือเช่าเป็นหลักฐานใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นหลักฐานการเช่าได้หรือไม่ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน มิใช่จะยกขึ้นอ้างเมื่อใดก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเกี่ยวกับสัญญาเช่าและการชดใช้ค่าตบแต่งสถานที่ ศาลรับพิจารณาได้หากเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
ฟ้องแย้งที่ศาลพึงรับไว้พิจารณาต้องเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมซึ่งหมายความว่าต้องเป็นฟ้องที่อาศัยฟ้องเดิมเป็นมูลแห่งหนี้ หรือต้องมีส่วนสัมพันธ์กับฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 และมาตรา 179 วรรคท้าย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 2 เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ที่ 1 แล้วให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยโดยให้จำเลยชำระค่าเช่าแทน โจทก์ที่ 2 ต้องการตึกพิพาทคืน จำเลยไม่คืนให้ขอให้ขับไล่ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเช่าเพื่อทำกิจการค้าขายหนังสือแล้วแบ่งส่วนให้จำเลยเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยโจทก์ที่ 2 ให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าตบแต่งตึกพิพาทเป็นการต่างตอบแทน เมื่อโจทก์จะให้จำเลยออกจากตึกพิพาทที่เช่าเพื่อโจทก์ที่ 2 จะทำการค้าเสียเอง โจทก์ที่ 2 จึงต้องชดใช้ค่าตบแต่งตึกพิพาทให้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าหรือนัยหนึ่งอาศัยฟ้องเดิมของโจทก์เป็นมูลหนี้นั่นเอง จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม พอที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้(อ้างฎีกาที่ 442/2511)สมควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 187/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัคคีภัยทำให้สัญญาเช่าระงับ: การพิจารณาความเสียหายของอัคคีภัยต่อการสิ้นสุดสัญญาเช่า
บันทึกการหักหนี้และโอนกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทตีใช้หนี้เงินกู้เป็นสัญญาชำระะหนี้โดยการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ เข้าลักษณะนิติกรรมที่จะต้องอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 เมื่อมิได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การโอนจึงถือว่าไม่บริบูรณ์ กรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทยังเป็นของจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงนำยึดห้องแถวพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177-186/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัคคีภัยทำให้สัญญาเช่าระงับสิ้นสุด แม้มีการซ่อมแซมก็ไม่ฟื้นคืนสภาพ
จำเลยทั้ง 10 สำนวนทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากโจทก์คนละห้อง มีข้อสัญญาว่าถ้าห้องเช่าเกิดอัคคีภัย สัญญาเช่าเป็นอันระงับสิ้นสุดลง เมื่อปรากฏว่าห้องเช่าถูกไฟไหม้ โดยหลังคาและเพดานห้องเช่าทั้ง 10 ห้องถูกไฟไหม้หมด เว้นแต่เพดานห้องที่ ป. จำเลยเช่าถูกไฟไหม้ไปครึ่งห้อง ฝาห้องเช่าชั้นบนแต่ละห้องถูกไฟไหม้เสียหายเป็นส่วนมาก ส่วนชั้นล่างไฟไหม้ห้องครัว ฝา และบันไดหมดบางห้อง และบางห้องไฟไหม้เกรียงจนจำเลยแต่ละคนต้องใช้สังกะสีมุงหลังคาและซ่อมแซมห้องเช่าเพื่อป้องกันฝนตกลงมาเปียก จึงใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อไปได้ ดังนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ห้องเช่าดังกล่าวถึงขนาดที่เรียกว่าห้องเช่าเกิดอัคคีภัยแล้วตามสัญญา ฉะนั้น สัญญาเช่าจึงเป็นอันระงับไปตามข้อสัญญา และเมื่อสัญญาระงับไปแล้วแม้จำเลยแต่ละคนจะซ่อมแซมห้องเช่าใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อมาอีก ก็หาทำให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่ละคนกลับมีผลบังคับต่อไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177-186/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัคคีภัยทำให้สัญญาเช่าระงับ แม้ผู้เช่าซ่อมแซมและอยู่อาศัยต่อ ก็ไม่ทำให้สัญญากลับมามีผล
สัญญาเช่าห้องมีว่า ถ้าเกิดอัคคีภัย สัญญาเช่าระงับเมื่อไฟไหม้ชั้นบนและไหม้ครัว บันไดและฝาเสียหายมากต้องใช้สังกะสีมุงหลังคาป้องกันฝน ถือว่าสัญญาระงับการที่ผู้เช่าซ่อมแซมใช้อยู่อาศัยต่อมาไม่ทำให้สัญญาเช่ากลับมีผลขึ้นใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกสัญญาเช่าและการขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์สร้างตึกแถวในที่ดินของวัด ให้ตึกแถวเป็นของวัดเมื่อมีผู้เช่า วัดทำสัญญาให้จำเลยเช่า จำเลยค้างชำระเงินค่าช่วยก่อสร้างต่อโจทก์โจทก์เป็นคนนอกสัญญาเช่า และไม่ใช่เจ้าของตึกแถวบอกเลิกสัญญาและขับไล่จำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583-1584/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเช่าโรงแรม: แม้ใบอนุญาตไม่ต่อ แต่การเช่ายังมีผล โจทก์ต้องชำระค่าเช่าตามสัญญา
โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ย่อมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือนหลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการที่ใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583-1584/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าโรงแรม: การรับผิดค่าเช่าแม้ใบอนุญาตจะถูกระงับ หากยังได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สิน
โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ยอมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้ เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือน หลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินกิจการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: แม้มีข้อตกลงฟ้องร้องที่ศาลแพ่ง แต่หากฟ้องละเมิดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ศาลจังหวัดก็มีอำนาจพิจารณาได้
บริษัทโจทก์โดยคณะกรรมการขุดเดิมได้นำโรงงานและกิจการผลิตไม้อัดของโจทก์ ไปให้จำเลยเช่าดำเนินกิจการแทนโดยได้ทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนกันมีกำหนด 15 ปี สัญญาเช่ามีข้อความข้อหนึ่งว่า "คู่สัญญาตกลงกันว่า หากมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับข้อสัญญานี้แล้ว ให้คู่กรณีนำคดีฟ้องร้อง ณ ที่ศาลแพ่ง" ต่อมาบริษัทโจทก์จดทะเบียนกรรมการผู้บริหารงานใหม่ กรรมการชุดใหม่เข้าไปดำเนินกิจการไม่ได้ จึงฟ้องขับไล่จำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการซึ่งโรงงานพิพาทตั้งอยู่ในเขต อ้างว่า จำเลยเข้าไปดำเนินกิจการผลิตไม้อัดในโรงงานพิพาทปราศจากมูลเหตุที่จะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สัญญาเช่าที่จำเลยทำกับกรรมการบริษัทโจทก์ชุดเก่าขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ ทั้งเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ดังนี้ คู่ความมิได้พิพาทกันเกี่ยวด้วยสัญญาเช่าที่ทำกันไว้ เพราะมิได้ฟ้องร้องหาว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดเงื่อนไขแห่งสัญญาเช่าหรือไม่ยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดแห่งสัญญาเช่า แต่เป็นการฟ้องร้องในมูลละเมิด โจทก์จึงหาตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7(4) ที่จะต้องยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งดังที่ตกลงกันไว้ในหนังสือสัญญาเช่าไม่ คำฟ้องคดีนี้เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ทรัพย์พิพาทตั้งอยู่ในเขตศาล จึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) แล้ว
โจทก์ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาเกินมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ศาลฎีกาจึงให้คืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินแก่โจทก์
of 227