พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนที่ดินเช่าเมื่อมีการขายทอดตลาด และการแก้ไขราคาซื้อขายโดยศาลตามกฎหมายเช่าที่ดิน
คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯตามมาตรา56ย่อมถึงที่สุดแต่มาตรา58วรรคหนึ่งบัญญัติว่าในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าวเมื่อ ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลในการพิจารณาคดีของศาลให้ถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็น คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยดังกล่าวในกรณีนี้โดยอนุโลมซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา221บัญญัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการคือพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯมาตรา24วรรคสองให้ศาลมีอำนาจแก้ไขในกรณีที่คำชี้ขาดมีข้อบกพร่องอันมิใช่สาระและอาจแก้ไขได้เช่นการคำนวณตัวเลขหรือการกล่าวอ้างถึงบุคคลหรือทรัพย์สิ่งใดผิดพลาดไปแต่การนำบทบัญญัติดังกล่่าวมาใช้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อสภาพความชอบกฎหมายของคำวินิจฉัยถึงที่สุดของคชก.ตำบลโดยเฉพาะข้อที่ว่าราคาที่คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯมาตรา54วรรคหนึ่งหรือไม่ศาลต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาบังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้แม้จะเป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของคชก.ตำบลก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4876/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าที่ดินเพื่อเลี้ยงปลาไม่เข้าข่ายกฎหมายเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่ดิน
ขณะเกิดกรณีพิพาทโจทก์ไม่ได้ทำนาในที่ดินพิพาทแล้ว แต่ได้ขุดบ่อเลี้ยงปลาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาตามความหมายในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เป็นการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น จึงต้องนำมาตรา 63 มาใช้บังคับ ซึ่งมีใจความว่าในกรณีที่การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทใดนอกจากการเช่านาเมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดให้การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทนั้นมีการควบคุมก็ให้มีอำนาจกระทำการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เมื่อปรากฏว่ายังไม่มีพระราชกฤษฎีกาควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่น ดังนั้น โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และศาลพิพากษายกฟ้องแล้วฟ้องแย้งย่อมต้องตกไปเพราะการฟ้องแย้งนั้นจะมีได้ต้องมีฟ้องเดิมและตัวโจทก์เดิมที่จะเป็นจำเลยของฟ้องแย้งอยู่ด้วย.
เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และศาลพิพากษายกฟ้องแล้วฟ้องแย้งย่อมต้องตกไปเพราะการฟ้องแย้งนั้นจะมีได้ต้องมีฟ้องเดิมและตัวโจทก์เดิมที่จะเป็นจำเลยของฟ้องแย้งอยู่ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่านา: สิทธิการเช่ายังคงมีผลต่อเนื่อง แม้มีการเปลี่ยนกฎหมาย โดยมาตรา 66 พ.ร.บ.การเช่าที่ดินฯ 2524
ผู้ร้องบอกเลิกการเช่านาพิพาทซึ่งผู้เช่าได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 แต่คณะกรรมการควบคุมการเช่านาได้มีมติยับยั้งการบอกเลิกการเช่ามีกำหนดสองปี มีผลให้ผู้เช่ามีสิทธิทำนาต่อไปถึงปี พ.ศ.2525ระหว่างนั้นพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2524 และ มาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติฉบับใหม่ให้ถือว่าการเช่านาที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517 เป็นการเช่าที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติฉบับใหม่ต่อไป ดังนั้นสิทธิการเช่านาพิพาทอันเกิดจากการใช้สิทธิยับยั้งการบอกเลิกการเช่าจึงยังไม่สิ้นสุดและอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524ด้วย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลและประจำจังหวัดให้ยับยั้งการบอกเลิกการเช่านาพิพาทอีกเป็นครั้งที่สองตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่ จึงชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4706/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินเช่าเพื่อทำนา แม้มีส่วนปลูกบ้านก็ยังคงเป็นที่นาตามกฎหมายเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ที่ดินส่วนที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านนั้น เป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน แปลงที่จำเลยเช่าเพื่อทำนา ดังนั้นที่ดินที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้าน จึงยังคงเป็นที่นาอยู่หาได้เปลี่ยนสภาพจากที่นามาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ ที่ดินที่เช่าเพื่อการทำนานั้นถือได้ว่าเป็นที่นาทั้งแปลงไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด ของที่ดินจะใช้เป็นที่ปลูกบ้านหรือไม่
ตามคำนิยาม 'นา' ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 มาตรา 21 ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมด หรือเป็นส่วนใหญ่' ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนา ทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่
ตามคำนิยาม 'นา' ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524 มาตรา 21 ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมด หรือเป็นส่วนใหญ่' ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนา ทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4706/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินเช่าเพื่อทำนา แม้ส่วนหนึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย ยังคงเป็นที่นาตามกฎหมายเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ที่ดินส่วนที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงที่จำเลยเช่าเพื่อทำนาดังนั้นที่ดินที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านจึงยังคงเป็นที่นาอยู่หาได้เปลี่ยนสภาพจากที่นามาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ที่ดินที่เช่าเพื่อการทำนานั้นถือได้ว่าเป็นที่นาทั้งแปลงไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินจะใช้เป็นที่ปลูกบ้านหรือไม่ ตามคำนิยาม'นา'ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา21ก็ให้หมายความว่า'ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่'ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนาทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายนาพิพาทและการแจ้งการขายให้ผู้เช่านาทราบตามกฎหมายเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การแจ้งโดยนายอำเภอชอบด้วยกฎหมาย
มาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการขายนาพิพาท มิได้บังคับว่าผู้ให้เช่านาจะต้องแจ้งการขายนาแก่ผู้เช่านาด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้ให้เช่านาจึงอาจมอบให้นายอำเภอเป็นผู้แจ้งการขายแทนได้ แม้ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ที่ออกใช้ภายหลัง ก็ยังบัญญัติไว้ในมาตรา 53 ว่า ให้ผู้ให้เช่านาแจ้งการขายโดยยื่นต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบอีกทีหนึ่ง หาใช่บัญญัติให้ผู้ให้เช่านาแจ้งต่อผู้เช่านาโดยตรงไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อการขายนาพิพาทได้กระทำไปเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2522 ผู้เช่านาจะอ้างพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ ซึ่งเพิ่งจะออกใช้บังคับภายหลังในปี 2524 มาเพื่อให้มีผลลบล้างการขายก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้ใช้บังคับหาได้ไม่
การที่เจ้าของนาผู้ให้เช่าจะขายนาของตนให้ผู้ใดหมดทั้งแปลงหรือจะขายเพียงเฉพาะส่วนที่ผู้เช่านาได้เช่าทำอยู่บางส่วนย่อมเป็นสิทธิของเจ้าของนาผู้ให้เช่า ความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้ให้เช่านาได้แจ้งการขายให้ผู้เช่านาทราบหรือไม่เท่านั้นและเมื่อผู้เช่านาได้ทราบราคาที่ผู้ให้เช่าจะขายและวิธีการชำระเงินนั้นแล้ว ผู้เช่านาก็ย่อมมีสิทธิขอซื้อนาเฉพาะส่วนที่ตนเช่าอยู่ได้
ผู้เช่านาฟ้องบังคับให้ผู้ให้เช่านาโอนขายที่ดินให้ในราคาไร่ละ15,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,512,927.50 บาท ผู้ให้เช่านาให้การต่อสู้ว่าผู้เช่านาไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้โอนขายให้ได้ ดังนี้ เป็นคดีพิพาทกันในทรัพย์สินซึ่งมีราคา 2,512,987.50 บาท ผู้เช่านาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว
การที่เจ้าของนาผู้ให้เช่าจะขายนาของตนให้ผู้ใดหมดทั้งแปลงหรือจะขายเพียงเฉพาะส่วนที่ผู้เช่านาได้เช่าทำอยู่บางส่วนย่อมเป็นสิทธิของเจ้าของนาผู้ให้เช่า ความสำคัญอยู่ที่ว่าผู้ให้เช่านาได้แจ้งการขายให้ผู้เช่านาทราบหรือไม่เท่านั้นและเมื่อผู้เช่านาได้ทราบราคาที่ผู้ให้เช่าจะขายและวิธีการชำระเงินนั้นแล้ว ผู้เช่านาก็ย่อมมีสิทธิขอซื้อนาเฉพาะส่วนที่ตนเช่าอยู่ได้
ผู้เช่านาฟ้องบังคับให้ผู้ให้เช่านาโอนขายที่ดินให้ในราคาไร่ละ15,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,512,927.50 บาท ผู้ให้เช่านาให้การต่อสู้ว่าผู้เช่านาไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้โอนขายให้ได้ ดังนี้ เป็นคดีพิพาทกันในทรัพย์สินซึ่งมีราคา 2,512,987.50 บาท ผู้เช่านาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3548/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่านาและการบังคับใช้กฎหมายเช่าที่ดินหลังฟ้องคดี ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยเช่านาพิพาทจากโจทก์ครบกำหนด 6 ปีแล้วไม่ยอมออกไปโจทก์จึงฟ้องขับไล่ ต่อมาระหว่างที่คดีอยู่ในการพิจารณาของศาล ได้มีพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ใช้บังคับ จำเลยจะอ้างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีหาได้ไม่ เพราะพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติให้นำพระราชบัญญัตินี้ไปใช้บังคับแก่คดีความที่ค้างชำระอยู่ในศาลในวันที่หรือภายหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
เมื่อ พ.ศ. 2521 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทแก่จำเลยว่าเมื่อการเช่าครบกำหนด 6 ปีใน พ.ศ. 2522 แล้ว ให้จำเลยออกไปจากนาพิพาท ปลัดอำเภอผู้ได้รับมอบหมายจากนายอำเภอได้สอบสวนคู่กรณีแล้วปรากฏว่าการเช่าจะครบกำหนด6 ปีใน พ.ศ. 2523 จึงได้ทำการเปรียบเทียบให้จำเลยเช่าต่อไปจนถึงปี พ.ศ. 2523 และในปี พ.ศ. 2524 จำเลยหมดสิทธิทำนา ทั้งโจทก์และจำเลยต่างยินยอมตามคำเปรียบเทียบ และลงชื่อกับพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในคำเปรียบเทียบ ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่านาพิพาทชอบด้วยพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 39 แล้ว
เมื่อ พ.ศ. 2521 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทแก่จำเลยว่าเมื่อการเช่าครบกำหนด 6 ปีใน พ.ศ. 2522 แล้ว ให้จำเลยออกไปจากนาพิพาท ปลัดอำเภอผู้ได้รับมอบหมายจากนายอำเภอได้สอบสวนคู่กรณีแล้วปรากฏว่าการเช่าจะครบกำหนด6 ปีใน พ.ศ. 2523 จึงได้ทำการเปรียบเทียบให้จำเลยเช่าต่อไปจนถึงปี พ.ศ. 2523 และในปี พ.ศ. 2524 จำเลยหมดสิทธิทำนา ทั้งโจทก์และจำเลยต่างยินยอมตามคำเปรียบเทียบ และลงชื่อกับพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในคำเปรียบเทียบ ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่านาพิพาทชอบด้วยพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 39 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน และผลกระทบต่อการฟ้องขับไล่
ขณะฟ้องจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ในระหว่างศาลฎีกาทำการพิจารณาคดีนี้ปรากฏว่า พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ. 2504 มาตรา 21 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2511 มาตรา 3กำหนดให้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504เฉพาะมาตรา 11 และ 17 ใช้บังคับได้เพียง 8 ปี นับแต่พระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2504 มาตรา 11 และ17 ดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับหรือเลิกใช้ บังคับแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวต่อไป ดังนี้ ศาลฎีกาจะยกเอาความสิ้นสุดของพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ ดังกล่าว ในระหว่างพิจารณามา เป็นเหตุพิพากษาขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะเหตุที่ศาลจะยกขึ้นพิพากษา ขับไล่จำเลยได้ จะต้องเป็นเหตุที่มีอยู่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ในขณะฟ้อง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2513)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าระงับเมื่อผู้เช่าตาย เว้นแต่มีบุคคลเข้ามาทำสัญญาใหม่ตามกฎหมาย การต่อสู้คดีต้องอาศัยพยานหลักฐาน
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นตามธรรมดาย่อมระงับเมื่อผู้เช่าตาย เว้นแต่กรณีจะเข้ามาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ 2489
คำแถลงต่อศาลของบุคคลภายนอกซึ่งไม่มีฐานะในคดี ศาลจะรับฟังเป็นข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาหาได้ไม่.
คำแถลงต่อศาลของบุคคลภายนอกซึ่งไม่มีฐานะในคดี ศาลจะรับฟังเป็นข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาหาได้ไม่.