พบผลลัพธ์ทั้งหมด 10 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3527/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำจากการกระทำต่อเนื่องในคดีบุกรุกป่า หากโจทก์ไม่บังคับคดีเดิม
จำเลยยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุตลอดมา หาได้ออกไปแล้วกลับเข้ายึดถือครอบครองใหม่ไม่ แม้จะฟังได้ว่า จำเลยแผ้วถางต้นไม้แล้วปลูกมันสำปะหลังก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากการกระทำความผิดในคดีก่อน คือการยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้ว การแผ้วถางต้นไม้และขุดดินปลูกมันสำปะหลังเป็นการแสดงออกว่าจำเลยยังคงเป็นผู้ยึดถือครอบครองอยู่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำลายและทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติขึ้นใหม่ การที่โจทก์มิได้บังคับคดีให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่เกิดเหตุในคดีก่อน แต่กลับฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกันนี้อีก ทั้งๆ ที่เป็นการกระทำต่อเนื่องจากคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12559/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีอาญา พ.ร.บ.พรรคการเมือง: ฟ้องไม่ทันขาดอายุความ แม้มีการกระทำต่อเนื่อง
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ส. ในวันที่ 6 กันยายน 2544 จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกและกรรมการสาขาพรรค ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อนายทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 42 วรรคหนึ่ง คือ ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2544 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2544 เมื่อจำเลยไม่ยื่นภายในกำหนด จำเลยจึงกระทำผิดตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2544 ซึ่งตามมาตรา 84 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวกำหนด ให้ระวางโทษปรับสถานเดียว เมื่อจำเลยกระทำความผิดในวันที่ 7 ตุลาคม 2544 โจทก์ฟ้องจำเลยในวันที่ 30 ตุลาคม 2545 เกินกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยกระทำความผิดซึ่งขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 95 วรรคหนึ่ง (5) และความผิดดังกล่าวเป็นความผิดกรรมเดียวบทเดียว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา 84 ได้อีก ทั้งไม่ใช่เป็นความผิดต่อเนื่อง แม้ต่อมาจำเลยจะยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อนายทะเบียนเลยก็จะปรับจำเลยเป็นรายวันอีกไม่ได้ เพราะความผิดของจำเลยได้สิ้นสุดโดยขาดอายุความไปแล้ว และเมื่อโจทก์ไม่ได้ตัวจำเลยมาฟ้องภายใน 1 ปี จึงขาดอายุความฟ้องจำเลย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5089/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการกระทำความรุนแรงต่อเนื่อง: ความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยโกรธแค้นผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาที่ไม่ยอมคืนดีด้วย และจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายคบชู้ จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงหลายครั้งแต่ไม่ถูกเพราะผู้เสียหายเอี้ยวตัวหลบได้ทัน และจำเลยได้ใช้มีดปาดคอผู้เสียหายจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลที่คอ ขนาดกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตรมีบาดแผลฉีกขาดถึงกะโหลกศีรษะทำให้กะโหลกศีรษะแตก การที่จำเลยเลือกแทงร่างกาย ปาดบริเวณลำคอ และฟันที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ และเมื่อผู้เสียหายล้มลง จำเลยยังได้ใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายอีกหนึ่งครั้ง จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดครบองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามฆ่าแล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ตายสมดังเจตนา จึงเป็นกรณีที่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 แล้วส่วนการที่จำเลยทิ้งมีดโต้แล้วไปสวมกอดผู้เสียหายเพราะความรักผู้เสียหายและรักลูกมิใช่เป็นกรณียับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอดไป อันจำเลยไม่ต้องรับโทษตาม ป.อ.มาตรา 82
จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดครบองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามฆ่าแล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ตายสมดังเจตนา จึงเป็นกรณีที่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 แล้วส่วนการที่จำเลยทิ้งมีดโต้แล้วไปสวมกอดผู้เสียหายเพราะความรักผู้เสียหายและรักลูกมิใช่เป็นกรณียับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอดไป อันจำเลยไม่ต้องรับโทษตาม ป.อ.มาตรา 82
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2803/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดแจ้งความเท็จ แม้มีการกระทำต่อเนื่องทำให้เกิดความเสียหายภายหลัง ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลย 3,000 บาท อีกสถานหนึ่ง และรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท แม้ศาลอุทธรณ์จะลงโทษปรับจำเลยด้วยแต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ โทษที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงต่ำกว่าโทษที่จำเลยจะต้องรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267 แต่การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายไว้ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 นั้น ก็เฉพาะการกระทำในส่วนที่อ้างว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจและที่ให้เจ้าพนักงานตำรวจจดข้อความอันเป็นเท็จลงในสมุดรายงานประจำวันอันเป็นเอกสารราชการเท่านั้น ส่วนการที่โจทก์กล่าวไว้ในคำฟ้องว่าต่อมาจำเลยนำสำเนารายงานประจำวันไปขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแล้วนำไปจดทะเบียนให้แก่ผู้มีชื่อนั้น โจทก์มิได้บรรยายการกระทำและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ตามที่ต้องกล่าวตามมาตรา158(5) จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยสำหรับการกระทำในส่วนนี้ด้วย ดังนั้นในการวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าโจทก์จะเป็นผู้เสียหายหรือไม่จึงต้องพิจารณาเฉพาะการกระทำที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยคือการที่จำเลยนำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าโฉนดที่ดินของจำเลยหาย เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจจดบันทึกไว้ในสมุดรายงานประจำวันอันเป็นเอกสารราชการ การกระทำตามฟ้องที่จำเลยนำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าโฉนดที่ดินของจำเลยหาย เป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงานมิได้กระทำต่อโจทก์และข้อความเท็จที่จำเลยแจ้งให้ร้อยตำรวจโทพ.จดบันทึกลงในสมุดรายงานประจำวันที่เป็นเอกสารราชการนั้น แม้จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137และมาตรา 267 ก็ตาม แต่ข้อความเท็จที่จำเลยแจ้งนั้น มิได้มีการกล่าวอ้างถึงการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นของโจทก์ ความที่ปรากฏว่าเป็นเท็จก็ดี สมุดรายงานที่เจ้าพนักงานจดบันทึกไว้มีข้อความเป็นเท็จก็ดีมิได้ทำให้สิทธิของโจทก์เกี่ยวกับการมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในโฉนดต้องถูกเปลี่ยนแปลงหรือกระทบกระเทือนต่อการที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในทางที่ทำให้สิทธิที่มีอยู่ลดน้อยถอยลงในการกระทำความผิดของจำเลยในส่วนนี้โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายแม้จะได้ความต่อมาว่า จำเลยได้นำหลักฐานการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอใบแทนโฉนดแล้วนำไปขายให้บุคคลอื่นอันเป็นการกระทำที่เกิดความเสียหายให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยในส่วนนี้ที่กระทำต่อมาหลังจากการกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจและให้เจ้าพนักงานตำรวจจดข้อความเท็จลงในเอกสารราชการสำเร็จแล้วนั้น เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากการกระทำที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ จึงนำเอาการกระทำส่วนนี้มาเป็นข้อพิจารณาว่าโจทก์เสียหายในส่วนของการกระทำตามฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่างกรรมกับการกระทำต่อเนื่อง: การฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาและการเบิกความต่อ
การที่จำเลยยื่นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในเรื่องเดิมนั้น เป็นการกระทำโดยมีเจตนาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกันกับการที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดต่างกรรม แม้คำฟ้องฎีกาจะเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3)ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ก็ตาม
จำเลยเบิกความในคดีเรื่องเดิมครั้งแรก แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในนัดต่อไป ข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน การเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกับการเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดต่างกรรม
โจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงฟ้องแต่เพียงคนเดียวโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทนายความหรือได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนตนในคดีนี้นั้น ฟ้องของโจทก์ที่ 2จะชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อกฎหมายนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยเบิกความในคดีเรื่องเดิมครั้งแรก แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในนัดต่อไป ข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน การเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกับการเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดต่างกรรม
โจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงฟ้องแต่เพียงคนเดียวโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทนายความหรือได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนตนในคดีนี้นั้น ฟ้องของโจทก์ที่ 2จะชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อกฎหมายนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเนื่องหลายกระทง: เจตนาแยกต่างหากทำให้เป็นความผิดหลายกระทงได้ แม้กระทำต่อเนื่อง
ความผิดที่กระทำต่อเนื่องอาจเป็นความผิดหลายกระทงได้ หากได้ความว่าผู้กระทำผิดมีเจตนาหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดที่สมบูรณ์แยกจากกันได้ จำเลยฉีกธงชาติไทยอันมีความหมายถึงรัฐเพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ และยังใช้ไม้ตีทุบเกศเศียร พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนอันเป็นการเหยียดหยามศาสนา อันเป็นคนละเจตนา แต่ละเจตนาเป็นความผิดในตัวเองแยกจากกันเป็นความผิดคนละกระทง แม้กระทำต่อเนื่องกัน และแต่ละกระทงดังกล่าวคือเจตนาในการทำให้เสียทรัพย์เช่นเดียวกัน จึงเป็นความผิดหลายบทในแต่ละกระทงกล่าวคือ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118,360,90กระทงหนึ่ง และมาตรา 206,360 ทวิ,90 อีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์ vs. วิ่งราวทรัพย์: การกระทำต่อเนื่องและการบรรยายฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ใช้ มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหาย แล้วใช้ มือขวากระชากสร้อยคอทองคำหนัก ๑ สลึง ของผู้เสียหายขาดออกจากกัน และเอาสร้อยคอกับพระเลี่ยมทองคำซึ่ง แขวนอยู่ ๑ องค์ไป เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันในทันใดเพื่อประสงค์จะเอาสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นสำคัญ และเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้นมิใช่เป็นการใช้ กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐาน ชิงทรัพย์ แต่ เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ ใช้ กิริยาฉกฉวย เอาสร้อยคอและพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐาน วิ่งราวทรัพย์ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐาน นี้มาและคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐาน วิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเรื่องทีโจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐาน วิ่งราวทรัพย์ คงลงโทษจำเลยได้ เฉพาะ ฐาน ลักทรัพย์เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำต่อเนื่องเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา ไม่ขาดอายุความฟ้องหย่า
จำเลยมิได้อยู่กินเป็นสามีภริยากับโจทก์มาถึงทุกวันนี้เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วโดยจำเลยมีสามีใหม่และอยู่กินกับสามีใหม่ตลอดมาจนขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้การกระทำของจำเลยดังกล่าว นอกจากจะเป็นเหตุหย่าในเหตุอื่นเช่นมีชู้จงใจละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิน 1 ปี เป็นต้นแล้วยังเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงอีกด้วย และเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องตลอดมาทุกวัน คดีจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดหลายบทจากการกระทำต่อเนื่องในที่เกิดเหตุเดียวกัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษ ก.ม.อาญา ม.73 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจะต้องเพิ่มโทษจำเลยตาม ม.72 ศาลก็เพิ่มโทษจำเลยตาม ม.72 ได้ไม่เป็นการเกินคำขอ
จำเลยทำการชิงทรัพย์และได้ทำให้ทรัพย์ของเจ้าของทรัพย์เสียหายด้วย เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเกิดขึ้นในถานที่เดียวกันในเวลาติดต่อเนื่องกันด้วยเจตนามุ่งหวังในทรัพย์ไม่ขาดตอนกันเช่นนี้การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดหลายบทไม่ใช่หลายกะทง.
จำเลยทำการชิงทรัพย์และได้ทำให้ทรัพย์ของเจ้าของทรัพย์เสียหายด้วย เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเกิดขึ้นในถานที่เดียวกันในเวลาติดต่อเนื่องกันด้วยเจตนามุ่งหวังในทรัพย์ไม่ขาดตอนกันเช่นนี้การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดหลายบทไม่ใช่หลายกะทง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2487
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำต่อเนื่อง: ยิงแล้วกลับมาฟันจนเสียชีวิต ไม่ถือเป็นการทรมาน
ใช้ปืนยิง เขาแล้ว ต่อมาอีกหลายชั่วโมงกลับไปดูเห็นเขานอนครางอยู่จึงใช้มีดฟันเขาตายดังนี้ ไม่เรียกว่าทรมานหรือกระทำให้ผู้ตายได้รับความลำบากอย่างสาหัสตามมาตรา 250(4)