คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กระบวนการไม่ชอบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาโดยไม่แจ้งนัดพิจารณาและสืบพยาน ถือเป็นกระบวนการไม่ชอบ ศาลมิอาจยกฟ้องได้
กรณีที่ศาลจะยกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่มาศาลตาม กำหนดนัดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 จะต้อง เป็นกรณีที่มีการ ไต่สวนมูลฟ้องหรือการพิจารณาคดีและศาลได้ กำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้อง หรือนัดพิจารณาคดีไว้ ต่อเมื่อโจทก์ได้ ทราบกำหนดนัดนั้นแล้ว ไม่มาศาล ศาลจึงพิพากษายกฟ้องเสียได้ โจทก์ฟ้องจำเลยตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 ศาลชั้นต้นเบิกตัว จำเลยซึ่ง ถูก คุมขังมาพิจารณาในวันที่โจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อหาดังกล่าวมีอัตราโทษอย่างต่ำ จำคุกตั้งแต่ ห้าปีขึ้นไป ซึ่ง ศาลจะต้อง ฟังพยานโจทก์ต่อไปจนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้ กระทำผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176แต่ ศาลชั้นต้นกลับจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าคู่ความไม่สืบพยานโดย ที่โจทก์ไม่ได้อยู่ในศาลขณะนั้น ซึ่ง แม้โจทก์จะมาศาลในวันนั้นคดีก็ไม่อาจสืบพยานได้ เพราะไม่ใช่วันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนการพิจารณาคดีไปแล้วนัดสืบพยานโจทก์ในภายหลัง การที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาไปในวันที่ โจทก์ยื่นฟ้องเสียทีเดียวจึงเป็นการไม่ชอบด้วย กระบวนพิจารณา กรณีไม่ต้องด้วยป.วิ.อ. มาตรา 166,181 และแม้จะถือ ว่าโจทก์ทราบกำหนดนัดแล้วเพราะในคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีข้อความระบุว่า รอฟังคำสั่งอยู่ถ้า ไม่รอให้ถือ ว่าทราบแล้วก็ยังไม่เป็นเหตุให้พิพากษายกฟ้องทันที.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโดยจำเลยไม่ทราบเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียวโดยที่ส่งหมายให้จำเลยไม่ได้จำเลยจึงไม่ทราบนัดและไม่มาศาลนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนพิจารณาหลังจากนั้นต่อมาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำสั่งดังกล่าวให้จำเลยฟัง ก็หาทำให้การอ่านคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเป็นการผิดระเบียบ ชอบที่จะเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไถ่ถอนจำนอง: ศาลต้องสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงเรื่องหนี้จำนองยังไม่ยุติ การงดสืบพยานแล้วพิพากษาเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน จำเลยให้การว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีคำเสนอชำระหนี้จำนองแก่จำเลย เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณา และตามเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นหนังสือจำเลยที่ตอบโจทก์เรื่องการไถ่ถอนจำนองมีข้อความว่า จำเลยกำลังรอให้สำนักงานใหญ่สั่งการมา ถ้าได้รับการสั่งการให้รับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้ก็จะติดต่อกับโจทก์ทันที ดังนี้ ตามเอกสารท้ายฟ้องและคำให้การจำเลย แสดงว่าจำเลยยังถือว่าหนี้จำนองยังมีอยู่ จึงชอบที่โจทก์จำเลยจะต้องนำสืบในประเด็นข้อนี้ต่อไป เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อนี้แล้วพิพากษาคดีไป ย่อมไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10449/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบพยานต่างด้าวผ่านล่ามต้องมีการสาบานตนของล่าม มิฉะนั้นกระบวนการสืบพยานไม่ชอบ
ผู้เสียหายทั้งสามเป็นคนต่างด้าวเบิกความโดยไม่ปรากฏว่าล่ามได้สาบานหรือปฏิญาณตนแล้ว และไม่ปรากฏว่าผู้ที่ลงลายมือชื่อในคำให้การพยานในฐานะล่ามนั้นเป็นใคร การสืบพยานปากผู้เสียหายทั้งสามจึงเป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.อ. มาตรา 13 ชอบที่จะต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว และย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ปากผู้เสียหายทั้งสามและพิพากษาใหม่ให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8167/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบันทึกคำให้การด้วยวาจาในคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ต้องทำตามแบบพิมพ์ที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นเป็นกระบวนการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นรับฟ้องเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยาก คดีนี้จำเลยแสดงความจำนงที่จะให้การด้วยวาจาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 196 วรรคสอง (เดิม) ประกอบมาตรา 193 วรรคสาม ศาลชั้นต้นย่อมมีหน้าที่ต้องจัดให้เจ้าพนักงานศาลจดบันทึกรายละเอียดของคำให้การลงในแบบพิมพ์บันทึกคำให้การด้วยวาจาคดีมโนสาเร่ (แบบ ม.2 ) แล้วอ่านให้จำเลยฟังและให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้ ทั้งนี้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 9 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พุทธศักราช 2477 ข้อ 2 การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่จดคำให้การด้วยวาจาของจำเลยลงในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งเป็นเอกสารที่บันทึกข้อความเกี่ยวด้วยเรื่องที่ได้กระทำในการนั่งพิจารณาหรือในการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นของศาลตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 48 โดยไม่ได้จัดให้เจ้าพนักงานศาลจดบันทึกรายละเอียดคำให้การของจำเลยลงในแบบพิมพ์ ม.2 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 เมื่อปรากฏเหตุที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาจำต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3567-3568/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่สมบูรณ์แต่ศาลพิจารณาคดี ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เนื่องจากกระบวนการไม่ชอบ
จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์โดยไม่ปรากฏว่ามีลายชื่อผู้เรียงและผู้พิมพ์คำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) ประกอบมาตรา 215 แต่การที่จะให้จำเลยทั้งสองแก้ไขคำฟ้องอุทธรณ์หรือสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองก็ล่วงเลยเวลาที่จะปฏิบัติได้เพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้พิจารณาพิพากษาคดีนี้เสร็จไปแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาคดีมาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์อีกต่อไป