พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องระบุค่าเสียหายชัดเจน การช่วยเหลือค่าเสียหายส่วนบุคคลไม่ระงับมูลละเมิดของประกันภัย
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 3 เฉี่ยวชนรถยนต์เก๋งทำให้รถทั้งสองคันเสียหาย มีผู้บาดเจ็บ ต่อมาจำเลยที่ 3 กับ ณ. ผู้ขับรถยนต์เก๋งทำบันทึกข้อตกลงโดยตกลงกันว่าจำเลยที่ 3 ยอมรับช่วยเหลือค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อบรรเทาผลร้ายโดยยอมจ่ายเงินให้ ณ. จำนวน 20,000 บาท และ ณ. ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอื่นใดเพิ่มเติม บันทึกดังกล่าวไม่มีรายละเอียดระบุว่าเงินช่วยเหลือที่ ณ. รับไปนั้นเป็นค่าเสียหายใด ทั้ง ศ. ผู้เอาประกันภัยรถยนต์เก๋งได้เรียกร้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดแก่รถยนต์เก๋งแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะเชิด ณ. เป็นตัวแทนให้ตกลงเรื่องค่าเสียหายแทน เงินช่วยเหลือค่าเสียหายตามบันทึกตกลงค่าเสียหายจึงเป็นค่าเสียหายส่วนตัวของ ณ. เนื่องจาก ณ. ได้รับบาดเจ็บและไม่อาจใช้รถยนต์เก๋งเดินทางต่อไปได้ไม่เกี่ยวกับค่าเสียหายของรถยนต์เก๋งที่โจทก์รับประกันภัยไว้ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ อันจะทำให้มูลละเมิดที่รถยนต์เก๋งซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 296/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิรับบำเหน็จตกทอด: ผู้อุปการะมีสิทธิแม้ไม่ใช่บุตรโดยกำเนิด
แม้โจทก์เป็นบุตร ท.และจำต้องอุปการะเลี้ยงดู ท.ตามป.พ.พ.มาตรา 1563 ก็ตาม แต่เมื่อ ท.ป่วยเป็นอัมพาตไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้โจทก์เป็นผู้ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้ความช่วยเหลือ ท.ตลอดมาจนกระทั่ง ท.ถึงแก่กรรมเช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้อุปการะ ท.ตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 มาตรา 4 (2) ด้วย
โจทก์ฟ้องบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยให้ชำระเงินบำเหน็จตกทอดตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 โดยอาศัยสิทธิในฐานะเป็นผู้อุปการะ ท.โดยโจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิในฐานะเป็นบุตร ท.เมื่อโจทก์เป็นผู้อุปการะ ท.ผู้ตาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตกทอดตามมาตรา 49
โจทก์ฟ้องบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยให้ชำระเงินบำเหน็จตกทอดตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 โดยอาศัยสิทธิในฐานะเป็นผู้อุปการะ ท.โดยโจทก์มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิในฐานะเป็นบุตร ท.เมื่อโจทก์เป็นผู้อุปการะ ท.ผู้ตาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตกทอดตามมาตรา 49
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิด: การกระทำหลังความผิดสำเร็จ ไม่ถือเป็นความช่วยเหลือ
น. ฟังผู้ตายแล้ววิ่งหนีไปทางทิศตะวันออก ผู้เสียหายจึงเข้าไปประคองผู้ตาย จำเลยซึ่งยืนอยู่ห่างเพียง 5 วาได้ถือมีดเข้ามาฟันผู้เสียหายและห้ามมิให้ผู้ใดนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลการกระทำของจำเลยมิใช่การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ น. ฟันผู้ตาย จำเลยไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการที่ น. ฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3075/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมปล้นเรียกค่าไถ่: การกระทำช่วยรับเงินค่าไถ่ด้วยอาวุธปืนเข้าข่ายเป็นตัวการร่วม
ช. ถูกจำเลยที่ 2 กับพวกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ เมื่อ ส. นำเงินค่าไถ่ไปมอบให้จำเลยที่ 2 และพวกนั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอาวุธปืนได้อยู่ด้วยโดยได้ช่วยรับและนับเงินค่าไถ่ หลังจากนั้นจึงได้จัดการปล่อยตัว ช.ให้เป็นอิสระ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 และพวกในการกระทำความผิดด้วย
ศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 ประกอบด้วยมาตรา 316, 53 โดยให้จำคุก 20 ปีแสดงว่าใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นเกณฑ์ในการคำนวณโทษ แต่ตามมาตรา 316 จะลงโทษน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของโทษดังกล่าวหาได้ไม่ โทษจำคุก 20 ปีที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาจึงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของโทษจำคุกตลอดชีวิตซึ่งไม่ถูกต้องแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้สูงขึ้นอีกได้
ศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 ประกอบด้วยมาตรา 316, 53 โดยให้จำคุก 20 ปีแสดงว่าใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นเกณฑ์ในการคำนวณโทษ แต่ตามมาตรา 316 จะลงโทษน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของโทษดังกล่าวหาได้ไม่ โทษจำคุก 20 ปีที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาจึงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของโทษจำคุกตลอดชีวิตซึ่งไม่ถูกต้องแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้สูงขึ้นอีกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้ไม่ได้ร่วมลงมือหรือรู้เห็นโดยตรง
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ร่วมกันทำร้ายผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2, 3 ไม่ได้ทำร้ายและไม่ได้ร่วมรู้เห็นในการทำร้ายมาก่อน แต่ได้จ้องปืนมาทางพยานโจทก์พูดห้ามไม่ให้คนอื่นเกี่ยวข้องในการที่จำเลยที่ 1,4 ทำร้ายผู้ตาย จึงเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1,4 แม้จำเลยที่ 1,4 จะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือให้ความสะดวกนั้นก็ตามจำเลยที่ 2,3 ก็เป็นผู้สนับสนุน แต่ไม่ใช่ตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2554 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือคนต่างด้าวและการบุกรุกป่าสงวน การพิจารณาโทษและการแก้ไขโทษจำคุก
การกระทำความผิดฐานให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคท้าย นั้น จะต้องเป็นการกระทำเพื่อช่วยบิดา มารดา สามีหรือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่ปรากฏว่าได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจไม่ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรานี้ได้