คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
การซื้อขาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 106 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9145/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายยาเสพติด: การส่งมอบทรัพย์สินยังไม่สมบูรณ์ ถือเป็นความผิดพยายามจำหน่าย
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ บัญญัติคำนิยามของคำว่า จำหน่าย หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าการซื้อขายตาม ป.พ.พ. แม้เป็นการจ่าย แจก ซึ่งไม่มีค่าตอบแทนก็ถือว่าเป็นการจำหน่าย แสดงว่าถือเอาการส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายเป็นสำคัญ แม้จะมีการตกลงซื้อขายกัญชากันแล้ว แต่สายลับยังไม่ได้ส่งมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองเพียงเอากัญชาของกลางจากที่ซ่อนเพื่อให้สายลับดูยังไม่ทันได้ส่งมอบกัญชาของกลางให้แก่สายลับ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับจำเลยทั้งสองกับพวกเสียก่อน ทั้งกัญชาของกลางที่ยึดไว้มีเพียง 40 กิโลกรัม ไม่ครบจำนวน 50 กิโลกรัม ตามที่สายลับตกลงซื้อจากพวกของจำเลยทั้งสอง การที่สายลับเพียงแต่ได้ดูกัญชาของกลาง ยังถือไมได้ว่าเป็นการส่งมอบกัญชาของกลางโดยปริยาย การซื้อขายกัญชาของกลางระหว่างจำเลยทั้งสองและพวกกับสายลับจึงไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายกัญชาของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าแบบลิสซิ่งไม่ใช่สัญญาเช่าซื้อ แม้จะมีการตกลงซื้อทรัพย์สินเมื่อครบสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าแบบลิสซิ่งรถยนต์ 1 คัน ไปจากโจทก์ในราคา 6,393,600 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งสิ้น 447,552 บาท จำเลยตกลงชำระค่าเช่าและภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน เดือนละ 142,542 บาท โดยแยกเป็นค่าเช่าเดือนละ 133,200 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนละ 9,324 บาท รวม 48 เดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 6 กรกฎาคม 2538 และทุกวันที่ 6 ของเดือนถัดไป เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าและหากจำเลยที่ 1 มิได้กระทำผิดข้อตกลงหรือเงื่อนไขในสัญญาเช่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิเลือกซื้อทรัพย์สินที่เช่าในราคา 934,579.44 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับรถยนต์ไปแล้วในวันทำสัญญาเช่าแม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายถึงลักษณะของการเช่าแบบลิสซิ่งว่าเป็นสัญญาแบบใด มีผลใช้บังคับได้อย่างไร แต่เมื่อพิจารณาแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้อยู่แล้วว่าโจทก์นำรถยนต์ให้จำเลยที่ 1 เช่าโดยมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนดและหากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดข้อตกลงหรือเงื่อนไขในสัญญา จำเลยที่ 1 มีสิทธิซื้อรถยนต์ที่เช่าได้ตามราคาที่ระบุไว้ในสัญญา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
สัญญาเช่าแบบลิชซิ่งตามคำฟ้องโจทก์นั้นโจทก์ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะขายทรัพย์ที่เช่าให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อครบสัญญาเช่าแล้ว โดยจำเลยที่ 1 มีสิทธิเลือกซื้อทรัพย์สินที่เช่าในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า 934,579.44 บาท หากมิได้ผิดข้อตกลงหรือเงื่อนไขในสัญญาเช่า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่ามิได้ตกเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้เช่าทันที สัญญานี้จึงมิใช่สัญญาเช่าซื้อตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 572 เพราะสัญญาเช่าซื้อนั้นเมื่อผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อครบแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อย่อมโอนไปยังผู้เช่าซื้อทันที ดังนั้น สัญญาเช่าตามคำฟ้องโจทก์จึงหาใช่สัญญาเช่าซื้อที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5570/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ใบกำกับภาษีปลอมและการใช้สิทธิทางภาษี: การพิสูจน์การซื้อขายจริงและความถูกต้องของใบกำกับ
ผู้ขายสินค้าให้โจทก์คือ ย. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายหนึ่ง มิใช่ห้างหุ้นส่วนทั้งสามซึ่งเป็นผู้ออกใบกำกับภาษีพิพาท หากสินค้าที่ ย. นำมาส่งมอบให้โจทก์เป็นสินค้าที่ ย. ซื้อจากห้างทั้งสามนั้นจริง ใบกำกับภาษีที่ห้างดังกล่าว ออกให้ก็ต้องระบุชื่อ ย. เป็นผู้ซื้อมิใช่ระบุชื่อโจทก์ เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ซื้อสินค้าจากห้างดังกล่าว โจทก์ย่อมไม่อาจนำใบกำกับภาษีที่ออกโดยห้างดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มของโจทก์
การพิสูจน์ว่ามีการซื้อสินค้าและชำระราคาจริง และพิสูจน์ตัวผู้รับเงินนั้น ต้องเป็นการพิสูจน์ว่ามีการซื้อสินค้าและชำระราคาให้แก่ผู้ออกใบกำกับภาษีตามรายการที่ปรากฏในใบกำกับภาษีนั้นจริง มิใช่ซื้อสินค้าและชำระราคาแก่ผู้ประกอบการรายหนึ่ง แต่ผู้ออกใบกำกับภาษีเป็นผู้ประกอบการอีกรายหนึ่ง ใบกำกับภาษีพิพาทจึงเป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นใบกำกับภาษีปลอม
ตามบทบัญญัติใน ป. รัษฎากร มาตรา 31 วรรคสอง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ผู้อุทธรณ์เสียภาษีเพิ่มขึ้นจากการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินได้ แต่ต้องไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ที่เจ้าพนักงานประเมินมิได้ตั้งเป็นประเด็นไว้ในการตรวจสอบไต่สวน การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นจากการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินสำหรับเดือนภาษีพิพาท เนื่องจากเจ้าพนักงานประเมินคำนวณผิดพลาดโดยนำภาษีที่โจทก์อ้างว่าชำระเกิน ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินแก้ไขไปแล้ว มาใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนภาษีดังกล่าวซึ่งไม่ถูกต้อง จึงเป็นการปรับปรุงตามข้อมูลที่ปรากฏจากการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินนั้นเอง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีอำนาจทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการให้และซื้อขายที่ดินเนื่องจากเนรคุณและฉ้อฉล
โจทก์เป็นบิดาจำเลยที่ 1 ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา โดยตนเองยังปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 1 ขับไล่โจทก์ให้รื้อถอนบ้านออกจากที่ดินพิพาท โดยพูดด่าว่าโจทก์ว่า "ไอ้เหี้ย ให้รื้อบ้านออกไปจากที่ดินของกู ไปให้พ้นไม่ต้องมาใช้น้ำบ้านกู ให้มึงรื้อบ้านออกไปเป็นขอทานที่วัดเสียเลย" ทั้งยังด่าว่าโจทก์อีกว่า "พ่ออย่างมึงกูไม่นับถือเป็นพ่อต่อไป" นอกจากนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาข้อหายักยอกเงินค่าขายที่ดินที่โจทก์ฝากไว้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ได้พาพวกไปที่บ้านโจทก์โดยจำเลยที่ 1 พูดจาข่มขู่ให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาเสีย มิฉะนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกจะฆ่าโจทก์ ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ด่าว่าโจทก์อีกว่า "ไอ้เหี้ยให้รื้อบ้านออกไปจากที่กู" และบอกเรื่องที่ดินว่า "ได้ขายให้คนอื่นแล้ว มึงอย่าหวังว่าจะได้คืนจากกูได้" การที่จำเลยที่ 1 ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำและพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น แสดงว่าจำเลยที่ 1 สิ้นความเคารพยำเกรงโจทก์ซึ่งเป็นบิดา เป็นการลบหลู่และอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) แม้คำเบิกความของพยานโจทก์จะมิได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์เมื่อใด ก็มิใช่สาระสำคัญถึงขนาดทำให้พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้
การที่จำเลยที่ 2 ตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 แต่กลับปล่อยให้จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาโดยอ้างเหตุว่าตนเห็นว่ายังมีการฟ้องร้องกันอยู่ย่อมเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2 รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์มีปัญหาเรื่องที่ดินพิพาทกันแล้วยังซื้อไว้ เช่นนี้น่าจะเป็นการซื้อไว้โดยไม่สุจริต ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ยังอาศัยอยู่กับบิดามารดา และไม่มีเหตุผลใด ๆ ในการซื้อที่ดินพิพาทมาทิ้งไว้โดยไม่เข้าทำประโยชน์ พฤติการณ์ในการโอนขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำไปโดยรู้ว่าโจทก์ผู้ให้อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายต้องเสียเปรียบ จึงเป็นการสมคบกันฉ้อฉลโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดิน: การซื้อขาย, การครอบครอง, และผลของคำพิพากษาถึงที่สุดต่อบุคคลภายนอก
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจาก ผ. ตั้งแต่ปี 2495 ต่อมาจำเลยได้ขอออกโฉนดทับที่ดินพิพาท โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินและขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินพิพาท แต่หากศาลรับฟังได้ว่าที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน จำเลยก็ได้แย่งการครอบครองและได้บอกกล่าวถึงเจตนาครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อโจทก์รวมระยะเวลากว่า 1 ปี ก่อนโจทก์ฟ้อง เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยและขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือไม่
คำให้การของจำเลยที่ว่า ที่ดินเป็นของจำเลยมาแต่ต้นโดยครอบครองมากว่า10 ปี และโดยผลคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในระยะเวลา 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ ฎีกาของจำเลยในข้อดังกล่าวจึงมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8888/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน: การครอบครองก่อนการซื้อขายไม่ถือเป็นการรบกวนการครอบครองของเจ้าของรายใหม่
ความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จะต้องได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของ หรือมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ในขณะที่กล่าวหาว่าจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อถือการครอบครองหรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข
จำเลยเป็นลูกจ้างของ ส. ต่อเนื่องมาถึง ค. มีหน้าที่ดูแลที่ดินพิพาทจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมานับแต่ ส. ยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่ง ส. ถึงแก่กรรม และ ค. ผู้จัดการมรดกของ ส. โอนที่ดินพิพาทให้แก่ พ. แล้ว พ. โอนขายที่ดินต่อให้แก่โจทก์ร่วม การที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก่อนโจทก์ร่วมมาซื้อที่ดินพิพาทเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อถือครอบครองและรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมโดยปกติสุขตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกที่ดินพิพาทของโจทก์ร่วมตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7269/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการซื้อขายสินสมรส: จำเลยที่ 2 รู้ว่าที่ดินเป็นสินสมรสหรือไม่
ที่ดินพิพาทมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 หลังจากโจทก์และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากันแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม แต่จำเลยที่ 2 รู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 มาก่อน โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในส่วนของโจทก์ครึ่งหนึ่งได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6511/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่า: โอนการครอบครองได้แม้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้
ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตั้งแต่วันทำสัญญาเพราะเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งไม่มีคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว อีกทั้งข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย ไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าจะไปทำการโอนที่ดินกันเมื่อใด จึงตกเป็นโมฆะตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 มาตรา 9 จำเลยได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์แล้ว ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่วินิจฉัยให้จึงไม่ชอบ
แม้ที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยจะเป็นที่ดินมือเปล่า ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ไม่อาจโอนกันได้ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9 ก็ตาม แต่ย่อมโอนไปซึ่งการครอบครองได้โดยการส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3529/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การปฏิเสธที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัด
คำฟ้องของโจทก์บรรยายรายละเอียดไว้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์หลายครั้ง รวม 60 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 673,301 บาท จำเลยทั้งสองให้การว่า "คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับใบสั่งซื้อตั้งแต่รายการที่ 1 ถึงรายการที่ 60 ไม่ปรากฏคำสั่งซื้อของจำเลยทั้งสองและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ลงนามรับสินค้าจากโจทก์ โจทก์จะได้ขายสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยทั้งหมดหรือรายการใดรายการหนึ่งหรือไม่ ไม่ขอรับรอง" คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าเลยทั้งสองยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ส่วนคำให้การของจำเลยทั้งสองว่า "โจทก์จะได้ขายสินค้าตามฟ้องให้แก่จำเลยทั้งหมดหรือรายการใดรายการหนึ่งหรือไม่ ไม่ขอรับรอง" แปลได้ว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 อาจซื้อสินค้าไปจากโจทก์จริงดังฟ้องก็ได้ ส่วนคำให้การที่มีมาก่อนหน้านั้นที่ว่า "ไม่ปรากฏคำสั่งซื้อขายของจำเลยทั้งสอง และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลย ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ลงนามรับสินค้าจากโจทก์" เป็นฟ้องขยายความให้การที่ว่าไม่ขอรับรองเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยืนยันปฏิเสธ คำให้การของจำเลยทั้งสองจึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ไปรวม 60 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 673,301 บาท
หนี้แต่ละรายการถึงกำหนดชำระไม่พร้อมกัน ในทางพิจารณาโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าหนี้ตามใบส่งของ / ใบเสร็จรับเงินแต่ละรายการนั้น คำนวณเป็นดอกเบี้ยผิดนัดจนถึงวันฟ้องได้รายละเท่าใด และไม่ใช่หน้าที่ของศาลจะคำนวณให้ ที่ศาลชั้นต้นคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดของหนี้แต่ละรายให้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3196/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: การซื้อขายที่ดินมือเปล่า แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่การส่งมอบการครอบครองทำให้เกิดสิทธิครอบครองได้
การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง ส. กับ ต. แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก ก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เป็นหลักฐาน เจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้นเมื่อ ต. ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ ส. บิดาโจทก์ถือว่า ต. ได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,1378 แล้ว เมื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองโดยบิดายกให้ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แม้ขณะซื้อขายที่ดินพิพาทมีข้อตกลงว่าเมื่อไถ่ถอนจำนองแล้ว จึงจะมีการโอนที่ดินพิพาทให้แก่ ส. ก็เป็นเรื่องประสงค์จะให้มีหลักฐานทางทะเบียนภายหลังจากที่ได้โอนสิทธิครอบครองแล้วเท่านั้น เพราะในขณะที่มีการซื้อขายที่ดินพิพาทนั้น ต. ได้จำนองที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงรวมทั้งที่ดินพิพาทไว้กับ พ. ไม่อาจทำการโอนทางทะเบียนได้ จึงมิใช่เงื่อนไขในสัญญาซื้อขายอันจะมีผลทำให้สัญญาซื้อขายดังกล่าวซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกลายเป็นสัญญาจะซื้อขาย
of 11