พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3281/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับตามฟ้อง vs. การปฏิเสธข้อกล่าวหาในคดีหย่า: ศาลฎีกาวินิจฉัยการฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน
ปัญหาว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับตามฟ้องโจทก์ในประเด็นว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันเป็นเหตุหย่าหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง
คำให้การจำเลยบรรยายว่า "ข้อ 1 จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น" และ "ข้อ 3 โจทก์ทำตัวเองไม่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้าครอบครัว กล่าวคือ ไปติดพันหญิงอื่น หาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ไม่เคยกลับมาให้ความอบอุ่นแก่บุตรและครอบครัวซึ่งเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือน โจทก์จึงโกรธและทำร้ายทุบตีจำเลยและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้าน" เมื่อพิจารณาประกอบกันเห็นว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับในประเด็นจงใจละทิ้งร้างโจทก์
คำให้การจำเลยบรรยายว่า "ข้อ 1 จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น" และ "ข้อ 3 โจทก์ทำตัวเองไม่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้าครอบครัว กล่าวคือ ไปติดพันหญิงอื่น หาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ไม่เคยกลับมาให้ความอบอุ่นแก่บุตรและครอบครัวซึ่งเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือน โจทก์จึงโกรธและทำร้ายทุบตีจำเลยและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้าน" เมื่อพิจารณาประกอบกันเห็นว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับในประเด็นจงใจละทิ้งร้างโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3725/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาท – การใช้ดุลพินิจในการลงโทษ – ข้อจำกัดการอุทธรณ์ – การฟังข้อเท็จจริง
คดีมีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย400บาทจึงต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจึงไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา การที่จำเลยเข้าใจว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีจำเลยไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะไปกล่าวประจานโจทก์ด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้าจึงยกเหตุเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมขึ้นเพื่อปฏิเสธความผิดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องฟังว่าการตายเกิดจากการชิงทรัพย์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ของผู้ตายในเวลากลางคืน ไม่พอฟังว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์ไม่อุทธรณ์ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ หรือในการชิงทรัพย์ครั้งนี้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการตายของผู้ตายจึงต้องฟังตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายมิได้ถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์ครั้งนี้ แม้คดีจะน่าเชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์และได้ชิงเอาเงิน 19,500 บาท ของผู้ตายไปก็จะปรับบทเป็นความผิดตามมาตรา 339 วรรคห้าไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักเอาเงินสด 19,500 บาทของผู้ตายไปโดยใช้ไม้ตีและมีดแทงผู้ตายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และนำสืบเช่นนั้น แต่ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานของโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และไม่ฟังว่าการตายของผู้ตายเกิดจากการชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของคู่ความว่าจะเชื่อได้เพียงใดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักเอาเงินสด 19,500 บาทของผู้ตายไปโดยใช้ไม้ตีและมีดแทงผู้ตายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และนำสืบเช่นนั้น แต่ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานของโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และไม่ฟังว่าการตายของผู้ตายเกิดจากการชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของคู่ความว่าจะเชื่อได้เพียงใดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง