พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3083/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงตรวจสอบแนวเขตที่ดิน การยอมรับผลการรังวัด และผลผูกพันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138
โจทก์จำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้ ส. เจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบโดยขุดหาคานคอนกรีตเดิมซึ่งเป็นเขตที่ดินที่มีการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลย หากพบว่าคานเป็นเส้นตรงและกำแพงตั้งบนคานตรงกับคานที่วัด โจทก์ยอมรับว่าเป็นแนวเขตที่ดินของจำเลย แต่หากพบว่าคานโค้งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จำเลยยินยอมรื้อถอนกำแพงที่สร้างใหม่ออกไปทั้งหมด ส. นำช่างแผนที่ออกไปตรวจสอบแล้ว การที่ ส. ให้ความเห็นว่า "สันนิษฐานว่าในเมื่อกำแพงโค้งคานน่าจะโค้งตามกำแพง" นั้น เกิดจากข้อเท็จจริงที่พบเห็นจากพยานหลักฐานในขณะทำการรังวัดเท่านั้นมิใช่เป็นการคาดคะเนของ ส. ดังนั้น เมื่อ ส. ตรวจสอบแล้วมีความเห็นว่ากำแพงตั้งอยู่บนคานเดิมตลอดแนว กำแพงโค้งตามคาน จึงทำให้กำแพงและคานตามรูปแผนที่ล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตรงตามคำท้าแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9517/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินเฉพาะส่วน (กันสาด) โดยสุจริต ไม่ต้องรื้อถอน และประเด็นการรังวัดที่ไม่กระทบสาระคดี
บริษัท ร.ได้ก่อสร้างอาคารตึกแถวขายพร้อมกับที่ดิน โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 40724 เนื้อที่ 28 ตารางวา พร้อมกับอาคารตึกแถวเลขที่1535/83 ส่วนจำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 40722 เนื้อที่ 17 ตารางวา พร้อมอาคารตึกแถวเลขที่ 1535/85 ต่อมาโจทก์ขอรังวัดที่ดินเพื่อต่อเติมอาคาร ปรากฏว่าอาคารตึกแถวของจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์คงรุกล้ำเฉพาะกันสาดคอนกรีตซึ่งสร้างขึ้นพร้อมอาคาร ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อสร้างอาคารตึกแถวพิพาทรวมทั้งกันสาดคอนกรีตที่สร้างพร้อมกับอาคารตึกแถวดังกล่าว และเป็นกรณีไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ ต้องนำบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งคือ ป.พ.พ.มาตรา 1312 วรรคแรก มาใช้บังคับ โดยถือว่าการที่กันสาดคอนกรีตดังกล่าวรุกล้ำนั้นเป็นมาโดยสุจริต จำเลยจึงไม่จำต้องรื้อกันสาดคอนกรีตที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์
ที่โจทก์ฎีกาว่า ฉ.เจ้าพนักงานผู้รังวัดทำแผนที่วิวาทตามคำสั่งศาลชั้นต้นรังวัดผิดพลาดเพราะมิได้รังวัดโดยถือเอาหลักหมุดด้านหน้าที่ดินของโจทก์เป็นหลัก คำเบิกความของ ฉ.จึงไม่ควรแก่การรับฟังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าอาคารตึกแถวพิพาทของจำเลยมิได้ปลูกรุกล้ำที่ดินของโจทก์คงรุกล้ำเฉพาะกันสาดคอนกรีตเท่านั้น ทั้งตามฎีกาของโจทก์ก็ขอเพียงให้จำเลยรื้อกันสาดคอนกรีตและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เท่านั้น มิได้ขอให้รื้ออาคารตึกแถวพิพาทด้วย ประเด็นในชั้นฎีกาจึงไม่มีว่าอาคารตึกแถวพิพาทของจำเลยปลูกรุกล้ำที่ดินโจทก์หรือไม่และการรังวัดทำแผนที่วิวาทชอบหรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดี
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารและกันสาดส่วนที่รุกล้ำออกไป และขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายขาดประโยชน์ในการที่จะใช้สอยอาคารส่วนที่ถูกรุกล้ำของโจทก์ เป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ไปจนกว่าจะรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำ จึงเป็นคดีที่มีคำขอที่ไม่มีและมีทุนทรัพย์รวมกันอยู่ด้วย จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงในเรื่องค่าเสียหาย
ที่โจทก์ฎีกาว่า ฉ.เจ้าพนักงานผู้รังวัดทำแผนที่วิวาทตามคำสั่งศาลชั้นต้นรังวัดผิดพลาดเพราะมิได้รังวัดโดยถือเอาหลักหมุดด้านหน้าที่ดินของโจทก์เป็นหลัก คำเบิกความของ ฉ.จึงไม่ควรแก่การรับฟังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าอาคารตึกแถวพิพาทของจำเลยมิได้ปลูกรุกล้ำที่ดินของโจทก์คงรุกล้ำเฉพาะกันสาดคอนกรีตเท่านั้น ทั้งตามฎีกาของโจทก์ก็ขอเพียงให้จำเลยรื้อกันสาดคอนกรีตและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เท่านั้น มิได้ขอให้รื้ออาคารตึกแถวพิพาทด้วย ประเด็นในชั้นฎีกาจึงไม่มีว่าอาคารตึกแถวพิพาทของจำเลยปลูกรุกล้ำที่ดินโจทก์หรือไม่และการรังวัดทำแผนที่วิวาทชอบหรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดี
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารและกันสาดส่วนที่รุกล้ำออกไป และขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายขาดประโยชน์ในการที่จะใช้สอยอาคารส่วนที่ถูกรุกล้ำของโจทก์ เป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ไปจนกว่าจะรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำ จึงเป็นคดีที่มีคำขอที่ไม่มีและมีทุนทรัพย์รวมกันอยู่ด้วย จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงในเรื่องค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1712/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างสิทธิในที่ดินจาก น.ส.3 ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองเดิม หากยังมิได้มีการรังวัดเสร็จสิ้น
การที่จำเลยอ้างว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3ซึ่งเจ้าของและทายาทอื่นได้รับมรดกมา และนำเจ้าพนักงานที่ดินเข้ารังวัดเพื่อแบ่งแยก แต่ในวันที่จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินเข้าทำการรังวัดเพื่อแบ่งแยกที่พิพาทนั้นเมื่อโจทก์เข้าห้ามปรามเจ้าพนักงานที่ดินก็ไม่ได้ทำการรังวัดต่อไป การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองที่พิพาทของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3286/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม - คำฟ้องไม่ชัดเจนในสภาพแห่งข้อหาและคำขอ ขาดรายละเอียดการรังวัดและผลกระทบต่อสิทธิ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ตามคำขอของโจทก์แล้ว ภายหลังจำเลยคัดค้านการรังวัดว่ารุกล้ำที่ดินของจำเลยโดยจำเลยมิได้เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง เพื่อกลั่นแกล้งและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ กับมีคำขอบังคับให้ยกคำร้องคัดค้านของจำเลย ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ แต่ผลการคัดค้านของจำเลยที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์นั้นฟ้องโจทก์ไม่มีรายละเอียดแจ้งชัดว่าโจทก์ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำอะไรให้โจทก์ต่อไป และการกระทำของจำเลยทำให้สิทธิของโจทก์ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างไร และมูลเหตุใดที่โจทก์ได้รับการคุ้มครองสิทธิที่มีอยู่ และคำขอบังคับที่ให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินคำฟ้องก็มิได้กล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่า จำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขต จึงไม่มีเหตุที่จะต้องทำแผนที่พิพาททั้งรายละเอียดในฎีกาโจทก์อ้างสิทธิเกี่ยวกับที่ดิน จึงเป็นข้อพิพาทในสิทธิเรื่องที่ดิน ไม่ตรงกับสภาพข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยในคำฟ้อง การทำแผนที่เพื่อให้ได้รับรองสิทธิของโจทก์ในที่ดิน จึงมิใช่รายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาอันจะสนับสนุนว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระวังแนวเขตที่สาธารณะโดยยึดหลักเขตเดิม และการปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ
จำเลยมีหน้าที่ดูแลที่สาธารณะภายในเขตรับผิดชอบ การระวังแนวเขตบึงทรายกองดินด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์จำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่วางระเบียบปฏิบัติไว้ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและถูกต้อง การคัดค้านแนวเขตที่ดินพิพาทเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและสุจริตย่อมไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ระเบียบปฏิบัติของกระทรวงมหาดไทยเรื่องการระวังแนวเขตที่สาธารณะมีว่าอย่างไรไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ว่ากระทรวงมหาดไทยออกระเบียบปฏิบัติในการระวังแนวเขตที่สาธารณะไว้อย่างไร แม้เอกสารเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่จำเลยอ้างเป็นพยานจะฟังไม่ได้เพราะไม่ใช่ต้นฉบับและผู้รับรองสำเนามิใช่ผู้มีอำนาจ แต่พยานบุคคลที่จำเลยนำเข้าสืบก็รับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีการครอบครองจริงและเปิดเผย มิใช่แค่การชี้แนวเขตที่ไม่สำเร็จ
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องสับสน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร และครอบครองที่ดินของโจทก์อย่างไรเขตที่อ้างว่าจำเลยบุกรุกอยู่ตรงไหน แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าคำฟ้องเคลือบคลุม แม้จำเลยที่ 2 จะให้การว่าคำฟ้องเคลือบคลุมแต่ก็อ้างเหตุแห่งการเคลือบคลุมว่าฟ้องโจทก์มีได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายและค่าขาดประโยชน์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับเหตุที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันจำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์.
จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันจำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษาให้แบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลงเดิม ศาลถือว่าการรังวัดตามข้อตกลงถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ ส. กับ ก. เป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาทบุคคลทั้งสามตกลงแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว ต่อมาจำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์ในส่วนของ ก.แต่ไม่ยอมไปจัดการแบ่งแยกที่ดินตามข้อตกลง ขอให้ศาลบังคับจำเลย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เช่นนี้ การที่ศาลพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยแสดงว่าให้แบ่งตามความตกลงตามฟ้องมิใช่แบ่งตามลำดับและวิธีการในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ดังนั้น การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทโดยยึดถือส่วนในโฉนดและความตกลงตามแผนที่แบ่งกรรมสิทธิ์รวม จึงเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องแนวเขตที่ดิน: การรังวัดต้องเป็นไปตามสัญญา ไม่ใช่การนำชี้
โจทก์จำเลยท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อให้ทราบแนวเขตติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์จำเลยว่าอยู่ตำแหน่งใด โดยถือเอาการรังวัดนี้เป็นยุติ ย่อมแสดงว่าโจทก์จำเลยมอบความไว้วางใจเป็นสิทธิขาดให้เจ้าพนักงานที่ดินสำหรับการรังวัดสอบเขต แม้เจ้าพนักงานที่ดินจะค้นหาหลักฐานการรังวัดที่ดินไม่พบก็จะต้องทำการตรวจสอบหาเขตที่ดินไปตามหลักวิชา จะใช้วิธีรังวัดด้วย"การนำชี้" หาได้ไม่เพราะมิใช่การรังวัด "สอบ" เขตตามที่คู่ความตกลงกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3151/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โฉนดที่ดินทับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (หาดทราย) การเพิกถอนโฉนด
โฉนดที่ดินพิพาทออกทับหาดแสนสุขและทะเล(หาดดินโคลน)หาดแสนสุขเป็นสถานที่ซึ่งประชาชนไปเที่ยวเตร่และพักผ่อนหย่อนใจน้ำทะเลท่วมถึง มีเรือมาจอดที่ชายหาดเป็นประจำ อันถือได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) เป็นการที่เจ้าพนักงานที่ดินได้รังวัดออกโฉนดพิพาทบางส่วนทับหาดแสนสุขและทะเลอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอธิบดีกรมที่ดินสั่งเพิกถอนการออกโฉนดพิพาททั้งฉบับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท การรังวัดออก น.ส.3 ไม่ถือเป็นการแย่งการครอบครอง หากยังไม่ได้เข้าครอบครอง
การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานไปทำการรังวัดปักเขตเพื่อออกน.ส. 3 และต่อมาทางการได้ออก น.ส. 3 ให้จำเลย เมื่อจำเลยยังไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาท ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์และแม้การรังวัดและออก น.ส. 3 นั้นจะเกิน 1 ปี โจทก์ก็ยังไม่หมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท