พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2311-2314/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นเอกสารเป็นพยาน: การระบุเอกสารที่ไม่เจาะจงและการนำสืบหักล้าง
จำเลยอ้างเอกสารเป็นพยาน โดย บัญชีพยานใช้ คำรวมว่าสรรพเอกสารซึ่ง หมายถึง เอกสารหลายฉบับ ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นเอกสารอะไรบ้าง แต่ ก็มีข้อความต่อไปว่าที่เกี่ยวข้องกับโจทก์พอถือได้ว่าจำเลยได้ ยื่นบัญชีระบุพยานโดยชอบแล้ว เมื่อเอกสารที่จำเลยอ้างคือเอกสารซึ่ง ลอกมาจากสมุดบัญชีค่าจ้าง แสดงถึงค่าแรงค้างจ่ายของโจทก์ และเป็นแบบยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณที่จ่าย แสดงเงินเดือนของโจทก์ ซึ่ง เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีโดยตรง จำเลยมีอำนาจนำพยานเอกสารดังกล่าวเข้าสืบได้ ถ้าโจทก์เห็นว่าเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้องอย่างไร ย่อมซักค้านได้ และเมื่อจำเลยแถลงหมดพยานแล้วโจทก์อาจแถลงขอสืบพยานที่เกี่ยวข้องมานำสืบหักล้างพยานเอกสารที่จำเลยนำเข้าสืบได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 353/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์การชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกและการไม่ชอบด้วยกฎหมายของฎีกาที่ไม่ได้อ้างอิงข้อกฎหมาย
จำเลยให้การว่า ขณะทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน. โจทก์จำเลยได้ตกลงกันด้วยวาจาว่า โจทก์ยอมให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้นี้ด้วยข้าวเปลือก 3 เกวียนก็ได้. ต่อมาจำเลยได้มอบข้าวเปลือกให้โจทก์แล้ว หนี้จึงระงับ. จำเลยนำพยานบุคคลสืบตามที่ให้การนี้ได้. ไม่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร. เพราะเป็นการนำสืบถึงการชำระหนี้เพื่อให้หนี้ระงับไป.ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94.
ฟ้องฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.
ฟ้องฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1982/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรับของโจร: คำฟ้องไม่จำเป็นต้องระบุชื่อผู้รับ หากมีการนำสืบพยานผู้รับแล้ว
ในฟ้องความผิดฐานรับของโจร โจทก์ไม่จำเป็นต้อระบุชื่อผู้รับของกลางไว้จากจำเลย เมื่อปรากฏว่าโจทก์นำพยานบุคคลผู้รับของกลางไว้จากจำเลยเข้าสืบแล้ว จำเลยยังจะว่าหลงข้อต่อสู้ หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 214/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสอบสวนของตำรวจสันติบาลต้องอาศัยข้อกำหนดของรัฐมนตรีฯ โจทก์ต้องนำสืบ
ตามความใน พระราชบัญญัติจัดวางระเบียบราชการกรมตำรวจในกระทรวงมหาดไทยพ.ศ.2491 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้กำหนดตั้งหน่วยงานและเขตอำนาจการรับผิดชอบหรือเขตพื้นที่ปกครองของหน่วยราชการโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษากองบัญชาการสอบสวนกลางกองตำรวจสันติบาลจะมีอำนาจสอบสวนได้เพียงใดหรือไม่นั้นต้องเป็นไปตามข้อกำหนดหรือข้อบังคับ ข้อกำหนดหรือข้อบังคับนั้นๆ เป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ข้อกฎหมาย โจทก์ต้องนำสืบเมื่อร.ต.ท.ประชานายตำรวจสันติบาลเพียงแต่อ้างว่ามีอำนาจสอบสวน เพราะได้รับคำสั่งจากผู้กำกับการฯแล้วแต่โจทก์มิได้สืบให้เห็นว่าผู้กำกับการมีอำนาจสั่งได้โดยชอบด้วยกฎหมายอย่างใด ดังนี้จึงฟังไม่ได้ว่าร.ต.ท.ประชามีอำนาจสอบสวน