พบผลลัพธ์ทั้งหมด 16 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขข้อบังคับบริษัทและการเลิกจ้างลูกจ้างที่กระทำผิด ประกาศใหม่มีผลบังคับใช้ได้แม้ไม่ได้ปรึกษาหารือ
ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและประกาศข้อปฏิบัติของคนงานของบริษัท ส.ซึ่งผู้ร้องรับโอนกิจการมานั้น กำหนดห้ามลูกจ้าง โดยเพียงแต่ลูกจ้างทะเลาะวิวาทกันในบริเวณโรงงานหรือบริเวณที่ทำงาน นายจ้างก็เลิกจ้างได้แล้ว แต่ตามประกาศใหม่ของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 กำหนดห้ามลูกจ้างโดยการทะเลาะวิวาทกันนั้นต้องถึงขั้นชกต่อย ตบตี ทำร้ายร่างกายกันนายจ้างจึงจะเลิกจ้างได้ ประกาศใหม่ของผู้ร้องจึงหาได้เป็นโทษต่อลูกจ้างตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านไม่ เมื่อเป็นดังนี้ ประกาศใหม่ของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์พ.ศ.2538 ดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้แม้จะไม่ได้ปรึกษาหารือกับตัวแทนฝ่ายลูกจ้างก็ตาม เพราะตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่กำหนดว่า "ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานนี้ อาจมีการแก้ไขเพื่อความเหมาะสมกับเหตุการณ์และการทำงานของบริษัทซึ่งบริษัทจะเจรจาและปรึกษาหารือกับตัวแทนฝ่ายลูกจ้างก่อนเสมอ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างบริษัทกับลูกจ้างทุกคน" นั้น หมายถึงกรณีที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปในทางเป็นโทษแก่ลูกจ้าง และเมื่อศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านได้ใช้ไม้กวาดตีทำร้าย ร.ซึ่งเป็นหัวหน้างานเพราะไม่พอใจการสั่งงานซึ่งศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงดังกล่าวตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 56 วรรคสอง การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าฝืนประกาศของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 กรณีมีเหตุสมควรที่ผู้ร้องจะเลิกจ้างผู้คัดค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7684/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและใบมอบอำนาจ: ความสมบูรณ์ของใบมอบอำนาจ แม้มีการแก้ไขและการส่งมอบเอกสาร
ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ชำระค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 70,000 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อุทธรณ์โต้แย้งจึงยุติจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่อาจฎีกาโต้แย้งเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ 1อีกได้
คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า ขอยื่นฟ้องสหกรณ์รัตนโกสินทร์จำกัด กับพวกรวม 4 คน ตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้อง โดยบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไว้แล้ว แม้ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอแก้ชื่อจำเลยที่ 1 จากสหกรณ์รัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เป็นเพียงการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องที่ระบุให้ฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 1 เดิมเสียไป และแม้ใบมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ ก็ถือว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้นั่นเอง เมื่อโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้ ภ. ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าให้ดำเนินคดีในข้อหาใดก็หาทำให้ใบมอบอำนาจดังกล่าวเสียไปไม่ และการที่ใบมอบอำนาจมีเพียงลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจกำกับข้อความที่แก้ไขในใบมอบอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็หาทำให้การแก้ไขนั้นเสียไปไม่ ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต้นฉบับใบมอบอำนาจได้รวมอยู่ในท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1แล้ว ก็หาจำต้องส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกไม่ การอ้างถึงใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการนำสืบจึงชอบแล้ว
คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ระบุว่า ขอยื่นฟ้องสหกรณ์รัตนโกสินทร์จำกัด กับพวกรวม 4 คน ตามบัญชีรายชื่อท้ายฟ้อง โดยบัญชีรายชื่อท้ายฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไว้แล้ว แม้ต่อมาโจทก์ที่ 1 ได้ขอแก้ชื่อจำเลยที่ 1 จากสหกรณ์รัตนโกสินทร์ จำกัด เป็นสหกรณ์สามล้อรัตนโกสินทร์ จำกัด ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เป็นเพียงการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเท่านั้นไม่ทำให้ใบมอบอำนาจท้ายฟ้องที่ระบุให้ฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 1 เดิมเสียไป และแม้ใบมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ ก็ถือว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้นั่นเอง เมื่อโจทก์ที่ 1 มอบอำนาจให้ ภ. ผู้รับมอบอำนาจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าให้ดำเนินคดีในข้อหาใดก็หาทำให้ใบมอบอำนาจดังกล่าวเสียไปไม่ และการที่ใบมอบอำนาจมีเพียงลายมือชื่อของผู้รับมอบอำนาจกำกับข้อความที่แก้ไขในใบมอบอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็หาทำให้การแก้ไขนั้นเสียไปไม่ ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต้นฉบับใบมอบอำนาจได้รวมอยู่ในท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 1แล้ว ก็หาจำต้องส่งสำเนาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกไม่ การอ้างถึงใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการนำสืบจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6615/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขอุปสรรคในการต่อสู้คดี: ศาลปรับบทกฎหมายให้ตรงกับเจตนาของผู้ร้องได้
แม้คำร้องของผู้ร้องจะใช้คำว่าผู้แทนเฉพาะคดีต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา73ที่ใช้คำว่าผู้แทนชั่วคราวก็ตามแต่ก็พึงเห็นได้ว่าผู้ร้องประสงค์จะให้ศาลตั้งผู้ร้องให้มีอำนาจเข้าไปแก้ไขอุปสรรค์ข้อบกพร่องของจำเลยในการที่จะยื่นคำให้การต่อสู้คดีกับโจทก์เพียงแต่ผู้ร้องใช้ถ้อยคำในคำร้องผิดจากถ้อยคำในกฎหมายเท่านั้นชอบที่ศาลจะปรับบทกฎหมายให้เข้ากับข้อเท็จจริงตามคำร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากโต้เถียงดุลพินิจศาลชั้นต้นและอุทธรณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือนปรับ 4,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี และไม่ริบของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะของกลางเป็นให้ริบ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาขอไม่ให้ไม่ริบของกลาง เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความไม่สมบูรณ์ของฟ้องจำเลย, การเรียงกระทงผิด, และการรอการลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดครั้งแรก
ฟ้องโจทก์ได้ระบุชื่อจำเลยในช่องขอยื่นฟ้องจากเพศหญิงเป็นเพศชายซึ่งไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในช่องคู่ความตามที่ระบุว่าเป็นเพศหญิง ในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและบันทึกคำให้การของจำเลยได้ระบุชื่อจำเลยเป็นเพศหญิง จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าไม่ถูกต้องหรือโจทก์ฟ้องผิดคน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้ระบุเพศจำเลยเป็นหญิงตลอด ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่พิมพ์ดีดพิมพ์ฟ้องในช่องขอยื่นฟ้องจำเลยระบุเป็นเพศชายจึงเป็นความบกพร่องผิดพลาดเล็กน้อยที่โจทก์ไม่ได้ตรวจพบและแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน แต่ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ กัญชาที่กล่าวหาว่าจำเลยครอบครองและจำหน่ายเป็นกัญชาจำนวนเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และกัญชาที่จำเลยมีไว้ในความครอบครองและจำหน่ายมีน้ำหนักเพียง 15.8 กรัม โดยสภาพความผิดไม่ถึงกับร้ายแรงมาก แม้จำเลยจะเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกเพราะคดีดังกล่าวศาลให้รอการลงโทษไว้ จึงสมควรให้โอกาสจำเลยอีกครั้งเพื่อกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีล้มละลาย: การรับฟังพยานหลักฐานการขายทอดตลาดที่ดิน และการแก้ไขบัญชีรับ-จ่ายเงิน
โจทก์แนบบัญชีรับ-จ่ายเงินฉบับที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแก้ไขให้ถูกต้องแล้วมาท้ายอุทธรณ์ เพื่อแถลงให้ศาลทราบถึงความผิดพลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังนี้ เป็นเพียงการเน้น ให้ศาลทราบเพื่อพิจารณาประกอบพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเพื่อให้เห็นว่ามีการขายที่ดินไปทั้งสามแปลงแล้วจริงเท่านั้นโจทก์ชอบที่จะทำได้หาใช่พยานหลักฐานที่โจทก์ยกขึ้นอ้างใหม่ในชั้นอุทธรณ์ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครองขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ: ข้อจำกัดการริบของกลาง และการแก้ไขบทมาตราที่อ้าง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี และริบของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า ของกลางในคดีนี้เดิมจำเลยมีไว้ในครอบครองจำนวนอย่างละ 2 ตัว ซึ่งชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาสัตว์ได้ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติจนมีจำนวนตามฟ้อง ลูกของสัตว์ป่าดังกล่าวหาใช่สัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ. 2503 ไม่ จึงมิใช่ทรัพย์ที่จะริบได้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยแล้วว่าจำเลยมีสัตว์ป่าคุ้มครองในจำนวนทั้งหมดตามฟ้องไว้ในครอบครอง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนทหารต้องมีฝ่ายทหารร่วมด้วย หากแก้ไขการสอบสวนให้ถูกต้องแล้ว ถือว่าการสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย
พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทหารประจำการที่ร่วมกระทำผิดกับพลเรือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ หลังจากวันนั้นพันโทส.นายทหารพระธรรมนูญ ได้เข้าฟังการสอบสวนพนักงานสอบสวนจึงได้สอบสวนจำเลยที่ 1 เพิ่มเติมต่อหน้าพันโทส.จำเลยที่ 1 ได้ให้การปฏิเสธ ส่วนการสอบสวนพยานอื่นพันโทส.ได้เข้าฟังการสอบสวนพยาน โดยพนักงานสอบสวนได้สอบสวนพยานและได้อ่านสำนวนการสอบสวนทั้งหมดให้พันโทส.ฟังแล้วพันโทส.คงติดใจประเด็นการสอบสวนบางประเด็นจะได้ทำบันทึกให้พนักงานสอบสวนในภายหลัง ส่วนการสอบสวนพยานเพิ่มเติมต่อไปนั้นพันโทส.ไม่ติดใจฟังการสอบสวน จึงฟังได้ว่าการที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยที่ 1 โดยไม่มีฝ่ายทหารเข้าร่วมในการสอบสวนนั้น ได้มีการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว การสอบสวนจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2278/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาและการแก้ไขวันกระทำผิดในบันทึก ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้
โจทก์ฟ้องด้วยวาจาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2524 ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัสและกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก ปรากฏในบันทึกคำฟ้องของศาลว่าจำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 31มิถุนายน 2524 อันเป็นวันภายหลังที่โจทก์ฟ้อง แต่ปรากฏตามบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหายและคำร้องขอผัดฟ้องและฝากขังว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2524 และต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2524 จำเลยมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ในวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยก็ยังได้ยื่นคำร้องยอมรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงแสดงว่าจำเลยทราบดีถึงการกระทำความผิดของจำเลย ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ การที่ศาลบันทึกวันกระทำผิดของจำเลยผิดพลาดไปเป็นเรื่องของความพลั้งเผลอจึงหาใช่เป็นการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดภายหลังวันที่โจทก์ฟ้องไม่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างอาคารตามใบอนุญาต แม้ไม่เป็นไปตามเทศบัญญัติทั้งหมด ศาลไม่อำนาจบังคับให้แก้ไข
จำเลยปลูกสร้างอาคารตามที่โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคือโจทก์แล้ว ทั้งมิได้ปลูกสร้างผิดแผกจากแผนผังแบบก่อสร้างหรือรายการที่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุไว้ในใบอนุญาต หากแต่ว่าจำเลยเว้นทางเดินหลังอาคารไว้หลังแนวเขตที่ดินเพียง 80 เซนติเมตร ไม่ถึง 200 เซนติเมตรผิดเทศบัญญัติควบคุมการก่อสร้างที่โจทก์อนุญาตไปโดยสำคัญผิดกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายที่จะให้อำนาจโจทก์มาฟ้องบังคับให้จำเลยร่นหรือถอนอาคารดังกล่าวได้