พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8390/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเลิกสัญญา: การนัดโอนกรรมสิทธิ์หลังแจ้งเลิกสัญญาถือเป็นการแสดงเจตนาที่จะปฏิบัติตามสัญญาเดิม
ก่อนที่จำเลยจะบอกเลิกสัญญา ผนังของห้องชุดพิพาทมีรอยแตกร้าวซึ่งจำเลยรับว่าจะแก้ไขให้เรียบร้อย และในวันที่ 26 ธันวาคม 2539 มีการนัดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทซึ่งเป็นวันหลังจากที่จำเลยอ้างว่าได้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2539 การนัดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาเลิกสัญญากับโจทก์ในเดือนกันยายน 2539 ซึ่งหลังจากนั้นจำเลยยังได้ยินยอมให้โจทก์เข้าไปตรวจรับห้องชุดพิพาทว่ายังมีรอยแตกร้าวต้องซ่อมแซมแก้ไขและจำเลยได้นัดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทในวันที่ 26 ธันวาคม 2539 แต่ในวันดังกล่าวไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์กันเนื่องจากจำเลยเรียกเงินจากโจทก์อีก 50,000 บาท อ้างว่าโจทก์รับโอนห้องชุดพิพาทล่าช้า หลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ได้แจ้งให้โจทก์มารับโอนห้องชุดพิพาทอีก เมื่อสัญญายังไม่เลิกกันและจำเลยไม่โอนห้องชุดพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7451/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความครบถ้วนขององค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง: การแสดงเจตนาหลอกลวงตั้งแต่ต้น
ฟ้องของโจทก์ที่กล่าวว่า "จำเลยจะโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2541 อันเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้วจำเลยได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า โฉนดที่ดินหาย แล้วออกโฉนดใหม่ นำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปจำนองแก่ผู้มีชื่อ จำเลยไม่มีเจตนาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายแต่อย่างใดย่อมมีความหมายว่า จำเลยไม่มีเจตนาขายที่ดินให้แก่ผู้เสียหายตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 อันเป็นวันที่หลอกลวงผู้เสียหายแล้ว โดยก่อนหน้านั้นจำเลยได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าโฉนดที่ดินหาย แล้วออกโฉนดใหม่และนำไปจำนองแก่ผู้มีชื่อ ฟ้องโจทก์จึงบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดครบถ้วนองค์ประกอบผิดฐานฉ้อโกง อันเป็นฟ้องที่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดสรรที่ดินสร้างภารจำยอม แม้ไม่ขออนุญาตจัดสรรก็ถือเป็นการจัดสรรตามกฎหมายได้
การที่ ป.ได้แบ่งแยกที่ดินของตนออกเป็นแปลงย่อยประมาณ300 แปลงเพื่อขาย และได้สร้างโรงภาพยนตร์โดยมีทางพิพาท อยู่ด้านข้างทั้งสองด้านของโรงภาพยนตร์และอยู่หน้าอาคาร ของโจทก์ทั้งสิบสี่แสดงโดยชัดแจ้งว่า ป.จัดทำทางพิพาทเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนเพชรเกษมอันเป็นทางสาธารณะเป็นการแสดงออกโดยปริยายแล้วว่า ป.เจตนาจัดให้มีสาธารณูปโภค คือทางพิพาท ถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515ข้อ 30 แม้ ป. จะมิได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ก็ไม่ทำให้การดำเนินการ ของ ป. กลับไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายไปแต่อย่างใดไม่ ส่วนการจัดสรรที่ดินอันฝ่าฝืนต่อประกาศของ คณะปฏิวัติดังกล่าวจะมีผลตามกฎหมายเป็นประการอื่นอย่างไรบ้าง เป็นอีกกรณีหนึ่ง ฉะนั้นทางพิพาทจึงเป็นภารจำยอมแก่ที่ดิน ของโจทก์ทั้งสิบสี่โดยผลของกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3887/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ การส่งหมายและการแสดงเจตนาแทนคู่ความ ศาลมีอำนาจแก้ไขหรือเพิกถอนได้
แม้ศาลชั้นต้นจะได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์แล้วก็ตาม หากปรากฏว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำโดยไม่ชอบ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ทราบว่าตนถูกฟ้อง และจำเลยที่ 3 ได้ยักยอกลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ผู้เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ลงในกระดาษเปล่ามากรอกข้อความเอาเองว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นเข้าใจผิดว่าเป็นใบมอบอำนาจที่แท้จริงและได้พิพากษาไปตามยอมให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยที่ 3 ได้แสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งได้รับความเสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบก็ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขให้ดำเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆ ใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา27 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1755/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินมรดกโดยไม่แสดงเจตนาเป็นเจ้าของ ย่อมไม่เกิดสิทธิครอบครอง
โจทก์และทายาทอื่นของ ก.มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ดูแลที่ดินพิพาทมี ส.ค.1 มรดกของก.แทน จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ ก.ตลอดมา การที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่ไปขอออก น.ส.3 ก. ในที่ดินพิพาทเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 และสามีจำเลยที่ 1 เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทเท่านั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นครอบครองเพื่อตนเอง และได้แสดงเจตนาดังกล่าวให้ฝ่ายโจทก์ทราบ จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2351/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ การฟ้องขับไล่ และการแสดงเจตนาครอบครองที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของป.บิดาโจทก์ซึ่งให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยต่อมาป.ถึงแก่กรรมที่พิพาทตกเป็นของโจทก์โจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อมาต่อมาโจทก์จะขายที่พิพาทจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไปจำเลยไม่ยอมออกฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไม่เคลือบคลุม. คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทและที่ดินอีกแปลงหนึ่งศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องสำหรับที่พิพาทเป็นคดีใหม่โจทก์จึงได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ตามคำสั่งศาลจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน. จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์จึงเป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์หามีสิทธิครอบครองในที่พิพาทไม่ที่จำเลยไปยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาทโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านจำเลยก็ถอนคำร้องโดยไม่ได้ความว่าเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องร้องต่อไปทั้งได้ความอีกว่าจำเลยได้ไปขอโทษโจทก์เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนดจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ที่จะครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองต่อไปโจทก์จึงไม่ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิการครอบครองภายในกำหนด1ปี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1458/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมอบบ้านหลังก่อสร้าง การย้ายทะเบียนบ้านไม่ใช่การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยาย
จำเลยได้ทำสัญญาว่าจ้างให้โจทก์ปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัย การที่จะฟังว่าจำเลยรับมอบบ้านพิพาท จำต้องมีข้อเท็จจริงให้ได้ความชัดถึงการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายของจำเลยว่ายอมรับมอบบ้านพิพาท การที่จำเลยแจ้งย้ายทะเบียนบ้านเข้าอยู่ในบ้านพิพาท เป็นเรื่องที่จำเลยปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายในเรื่องการแจ้งย้ายทะเบียนบ้านเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการที่จำเลยย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาอยู่ในบ้านพิพาทก็เพื่อนำบุตรเข้าศึกษาต่อในกรุงเทพมหานคร และโจทก์ก็นำสืบว่าจำเลยยังไม่ได้รับมอบบ้านพิพาทเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์ โจทก์ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองแทนเจ้าของจากการทำสัญญาขายฝากโมฆะ และการแสดงเจตนาครอบครองเพื่อตน
จำเลยทำสัญญาขายฝากนาพิพาทไว้กับโจทก์ โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และมีเงื่อนไขว่า ถ้าจำเลยไม่นำเงินมาไถ่ ก็ให้โจทก์ทำนาเรื่อยไป การขายฝากจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 456 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น ที่โจทก์เข้าครอบครองนาพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย และการที่โจทก์ครอบครองจนกว่าจำเลยจะใช้เงินคืนเช่นนี้ ถึงจะนานสักกี่ปีก็ยังถือว่าครอบครองแทนจำเลยผู้เป็นเจ้าของนาพิพาทอยู่นั่นเองแม้โจทก์จะมีชื่อในแบบ ส.ค.1 และเสียภาษีเงินบำรุงท้องที่มาก็ตามก็ต้องถือว่าทำแทนจำเลยเช่นกัน
กรณีดังกล่าว มิใช่เป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาการครอบครองดังนั้น หากโจทก์จะถือว่าครอบครองเพื่อตน ก็ต้องแสดงเจตนาต่อจำเลยว่าจะครอบครองเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
กรณีดังกล่าว มิใช่เป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาการครอบครองดังนั้น หากโจทก์จะถือว่าครอบครองเพื่อตน ก็ต้องแสดงเจตนาต่อจำเลยว่าจะครอบครองเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของที่ดิน กรณีโรงเรียนราษฎร์
โจทก์ครอบครองที่พิพาทและดำเนินกิจการโรงเรียนแทนคณะกรรมการโรงเรียนตลอดมาแม้โจทก์จะได้รับอนุญาตเป็นเจ้าของโรงเรียนก็เป็นเพียงเจ้าของที่แสดงออกและรับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2497 มาตรา 4,7 เท่านั้น โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ในชั้นฎีกา โจทก์ขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโรงเรียนและคณะกรรมการโรงเรียน จึงเป็นการขอนอกเหนือคำฟ้องเดิมของโจทก์ และเพราะโรงเรียนมิใช่นิติบุคคลและคณะกรรมการโรงเรียนมิได้ยินยอมด้วย ศาลจึงไม่อาจบังคับตามคำขอให้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ในชั้นฎีกา โจทก์ขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโรงเรียนและคณะกรรมการโรงเรียน จึงเป็นการขอนอกเหนือคำฟ้องเดิมของโจทก์ และเพราะโรงเรียนมิใช่นิติบุคคลและคณะกรรมการโรงเรียนมิได้ยินยอมด้วย ศาลจึงไม่อาจบังคับตามคำขอให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเจตนาลวงในการโอนสิทธิเช่า: เอกสารเป็นโมฆะได้ แม้มีพยานสืบหักล้าง
เอกสารมีข้อความว่า ผู้เช่าที่ดินแจ้งต่อผู้ให้เช่าขอโอนสิทธิการเช่าให้ผู้รับโอน และผู้รับโอนบันทึกไว้ด้วยว่ายอมรับโอนสิทธิการเช่า ดังนี้ ในคดีระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอน ผู้โอนนำสืบได้ว่าความจริงผู้โอนและผู้รับโอนตกลงกันให้ผู้รับโอนชำระหนี้ที่ค้างชำระแก่ผู้ให้เช่าแทนผู้โอนโดยผู้รับโอนเก็บค่าเช่าห้องแถวที่ดินที่เช่านั้นชดใช้และแบ่งเป็นบำเหน็จจึงทำเอกสารการโอนไว้เพื่อความสะดวกและเป็นประกันการแสดงเจตนาเช่นนี้ เป็นการแสดงเจตนาลวง โดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 คู่ความนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างข้อความในเอกสารนั้นได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)