คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กีดขวาง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 40 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7168-7172/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างรั้วกีดขวางทางเข้าออกและอากาศถ่ายเทถือเป็นการละเมิด จำเป็นต้องชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์สร้างความรำคาญให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยบอกกล่าวห้ามปรามแล้ว โจทก์ไม่เชื่อฟัง จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิทางศาลเพื่อขจัดความเดือดร้อน หามีสิทธิที่จะสร้างรั้วอิฐบล็อกปิดกั้นทางลมและแสงสว่างมิให้พัดและส่องสว่างเข้าทางประตูหน้าต่างตึกแถวของโจทก์ไม่
จำเลยเป็นผู้สร้างตึกแถวของโจทก์โดยผนังตึกแถวด้านหลังมีประตูและหน้าต่างติดกับเขตที่ดินของจำเลย แม้จะเป็นการผิดเทศบัญญัติก็เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องดำเนินการแก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิอ้างเหตุดังกล่าวก่อสร้างรั้วอิฐบล็อกติดกับผนังตึกแถวด้านหลังของโจทก์ จนเป็นเหตุให้ปิดกั้นทางลมและแสงสว่างที่จะผ่านเข้าออกทางด้านหลังของตึกแถวของโจทก์โดยที่โจทก์มิได้ยินยอมด้วย และแม้จำเลยจะก่อสร้างในเขตที่ดินของจำเลยก็เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4050/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทางภารจำยอม – การใช้ประโยชน์ที่สมควร – การจัดการโดยเจ้าของกรรมสิทธิ์ – การกีดขวางการใช้ภารจำยอม
ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับถนนทั้ง 6 สาย ในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ใช่ทางสาธารณะ ถนนทั้ง 6 สายยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอำนาจจัดการใช้สอยดำเนินการเกี่ยวกับถนนดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 แม้ถนนทั้ง 6 สายจะเป็นภารจำยอมตามประกาศของคณะปฏิวัติฯ ข้อ 30 วรรคหนึ่ง แต่เสียงส่วนใหญ่ในการประชุมผู้อยู่อาศัยในศูนย์การค้าตกลงให้จำเลยที่ 1 จัดการจราจรในศูนย์การค้า หลังจากจำเลยที่ 1 ก่อสร้างป้อมยามและเหล็กกั้นทางเข้าออกโดยมีพนักงานเก็บเงินค่าจอดรถแล้ว จำเลยที่ 1 แจกสติ๊กเกอร์สำหรับติดรถยนต์และรถจักรยานยนต์แก่เจ้าของอาคารพาณิชย์ทุกคูหาสติ๊กเกอร์ดังกล่าวสามารถใช้เข้าออกได้ทุกทางตลอดเวลาโดยสะดวกและไม่ต้องเสียเงินค่าจอดรถแต่ประการใด และแม้ประกาศของคณะปฏิวัติฯ ข้อ 30 วรรคหนึ่ง จะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินที่จะต้องบำรุงรักษาสาธารณูปโภค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยที่ 1 จะหารายได้จากสาธารณูปโภคดังกล่าวเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไม่ได้ เพียงแต่ต้องไม่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก นับได้ว่าจำเลยที่ 1 ให้ใช้ภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินทุกแปลงในศูนย์การค้าเท่าที่จำเป็นตามสมควรแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ และไม่ทำให้การใช้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก
โจทก์นำแผงเหล็กปิดกั้นบนถนนหน้าอาคารพาณิชย์ของโจทก์หรือบางรายจอดรถจักรยานยนต์หรือวางวัสดุบนทางเท้านั้น เป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มเติมแก่ภารยทรัพย์โจทก์ไม่มีอำนาจกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388 และมาตรา 1389 จำเลยที่ 1 มีสิทธิห้ามได้ และการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการก่อสร้างอาคารที่จอดรถตามที่ประกาศโฆษณาไว้ก็หาเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจกระทำการดังกล่าวไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางสิ่งของกีดขวางทางภารจำยอม การใช้สิทธิโดยปกตินิยม ไม่ถือเป็นการละเมิด
คดีเดิมมีประเด็นข้อพิพาทว่า กระถางต้นไม้และถังขยะที่จำเลยวางในทางพิพาทเป็นการละเมิดสิทธิการใช้ทางของโจทก์หรือไม่ อันเป็นประเด็นเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ แต่คดีเดิมศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างว่ากระถางต้นไม้และถังขยะที่จำเลยวางอยู่บนทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของบุคคลภายนอกที่โจทก์จำเลยใช้ร่วมกัน แต่โจทก์ไม่ได้นำบุคคลภายนอกมาสืบให้ศาลเห็นว่ายินยอมให้โจทก์ได้ใช้ที่ดินร่วมกับจำเลยหรือทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมอันถือได้ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาท ดังนั้นประเด็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่จึงยังไม่ได้วินิจฉัย เมื่อโจทก์ฟ้องเจ้าของทางพิพาทจนได้ทางพิพาทเป็นภารจำยอมแล้วจึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยว่าการที่จำเลยวางกระถางต้นไม้ ถังขยะ และทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในถังขยะซึ่งอยู่ในทางพิพาทเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ย่อมเป็นการพิจารณาในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยมิได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง
ซอยพิพาทอันเป็นภารจำยอมที่โจทก์และจำเลยใช้ร่วมกันกว้างประมาณ5 เมตร จำเลยวางกระถางต้นไม้บนทางพิพาทใกล้ประตูรั้วบ้านจำเลยเป็นผลให้ทางแคบลงเหลือประมาณ 4 เมตร เป็นลักษณะเดียวกับที่โจทก์ก่อกระถางอิฐเป็นแนวเดียวกับตึกแถวที่อยู่ติดรั้วบ้านโจทก์ และเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์แล่นทับท่อระบายน้ำตรงทางพิพาท เมื่อโจทก์ยังคงขับรถยนต์แล่นเข้าออกได้เป็นปกติการกระทำของจำเลยในทางพิพาทเป็นการใช้สิทธิโดยปกตินิยม ส่วนการวางถังขยะไว้นอกบ้านเพื่อให้พนักงานเก็บขยะมาเก็บไปทิ้งเช่นเดียวกับคนทั่วไปถือปฏิบัติกัน เมื่อการวางถังขยะมิได้เกะกะกีดขวางทางเดินรถยนต์ ลักษณะของขยะก็มิได้น่ารังเกียจส่งกลิ่นเหม็นรบกวนแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยปกตินิยม ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7696/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมในที่ดินจัดสรร การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกีดขวางสิทธิการใช้ทาง
เจ้าของที่ดินเดิมได้แบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่ออกเป็นแปลงย่อยรวม 26 แปลง แล้วจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปโดยกันที่ดินส่วนที่เป็นทางพิพาท กว้าง 5 เมตร ยาว 80 เมตร เพื่อเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะของที่ดินแปลงย่อยทุกแปลงและเป็นทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรดังกล่าวตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินแปลงย่อยที่จัดสรรขายย่อมมีสิทธิใช้ประโยชน์ทางพิพาทได้ แม้โจทก์ที่ 1 มีทางออกสู่ถนนสาธารณะทางอื่นไม่จำเป็นต้องใช้ทางพิพาทและโจทก์ที่ 2 พักอาศัยอยู่ที่อื่นก็ตาม กรณียังไม่อาจถือได้ว่าทางพิพาทนั้นหมดประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จะใช้ออกสู่ทางสาธารณะ การที่จำเลยก่อสร้างรั้วและประตูลงในทางพิพาทย่อมเป็นการทำให้โจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความสะดวก ถือว่าเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่จำเลยก่อสร้างออกไปเสียจากทางพิพาทได้
สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการขอให้บังคับรื้อถอนรั้วประตูและหลังคาตลอดจนสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่กีดขวางออกไปเสียจากทางภาระจำยอม แล้วทำทางภาระจำยอมให้กลับสู่สภาพเดิม แต่โจทก์ทั้งสอง มิได้เป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทางภาระจำยอมดังกล่าว และประเด็นข้อพิพาทก็คงมีเพียงว่า จำเลยได้ก่อสร้างรั้ว ประตู และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในทางภาระจำยอมหรือไม่เท่านั้น และหากจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาทโดยการครอบครอง ทางพิพาทดังกล่าวก็ยังคงเป็นภาระจำยอมสำหรับที่ดินของโจทก์ทั้งสองเช่นเดิม คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในทางพิพาทโดยการครอบครองแล้วหรือไม่ ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7405/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินไม่มีทางออก - ทางพิพาทจำเป็น - ที่ดินติดทางสาธารณประโยชน์แต่กีดขวาง
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งทางด้านทิศตะวันออกติดต่อกับที่ดินของจำเลยทั้งสองที่มีทางพิพาทผ่าน เมื่อปรากฎว่าที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้แต่เดิมติดกับทางสาธารณประโยชน์ซึ่งประชาชนทั่วไปได้ใช้ผ่านเข้าออกอยู่แล้ว และต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินอีก 2 แปลง คือเลขที่ 807 และ 808 ที่ดินของโจทก์ทั้งสามแปลงจึงติดกับทางสาธารณประโยชน์ การที่ต่อมาโจทก์ได้ปักรั้วเข้าไปในทางสาธารณประโยชน์ทางด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์จนติดที่ดินของจำเลยที่ 2 ทำให้ทางสาธารณประโยชน์ไม่สามารถใช้เดินได้ โจทก์จึงเข้าออกทางสาธารณประโยชน์นั้นไม่ได้อีก ดังนี้กรณีจะถือว่าที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น และโจทก์จะมาร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินให้เปิดทางพิพาททางจำเป็นหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7224/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรบกวนการใช้ประโยชน์จากทางน้ำ คลองพิพาท จำเลยต้องรื้อถอนสิ่งกีดขวางและห้ามกระทำการซ้ำ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนกำแพงและขนขยะที่ขวางทางน้ำออกไปจากคลองพิพาทและห้ามจำเลยกระทำการกีดขวางทางน้ำในคลองดังกล่าวอีกจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าแนวลำคลองด้านทิศใต้ของที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของโจทก์ปรากฏว่ามีน้ำขังอยู่ในสภาพเน่าเหม็น และระดับน้ำสูงเกือบถึงชายฝั่งคลองยาวตลอดแนวไปถึงแนวเขตที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้าน ที่ดินพิพาทยังมีขยะทับถมกั้นทางน้ำไหลอยู่ บริเวณด้านใต้ของขยะมีน้ำขังอยู่พอสมควร ส่วนลำคลองด้านทิศเหนือของที่พิพาทซึ่งปรากฏมีแนวลำคลองต่อจากท่อระบายน้ำห่างจากที่พิพาทประมาณ 80 เมตรซึ่งมีน้ำไหลในทางทิศเหนือต่อไปถึงคลองใหญ่และบริเวณที่นาของโจทก์ซึ่งอยู่ติดลำคลองด้านทิศใต้ ต้นมะขามเทศที่โจทก์ปลูกอยู่ในแนวคันนาบางต้นอยู่ในสภาพใบเหลืองเนื่องจากน้ำท่วมขังถึงโคนต้น อันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเนื่องมาจากการกระทำของจำเลยทั้งสอง กรณีจึงมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่โจทก์ขอมาใช้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมเกินขอบเขต และสิทธิในการกีดขวางการใช้สามยทรัพย์
การจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินของโจทก์ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นภารจำยอมเรื่องทางเดินทั้งแปลงการวางท่อระบายน้ำระบบประปาไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคอื่นการที่จำเลยทั้งสี่จ้างรถบรรทุกดินเข้ามาถมที่ดินของจำเลยทั้งสี่ซึ่งมีจำนวนหลายไร่ถือได้ว่าเป็นการใช้ทางภารจำยอมเกินควรกว่าปกติย่อมทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะทำได้การที่โจทก์นำหลักปักกีดขวางมิให้รถบรรทุกดินแล่นผ่านที่ภารยทรัพย์เข้าไปถมที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นการละเมิดต่อจำเลยทั้งสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2538 เวอร์ชัน 6 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องเรียกขจัดความเดือดร้อนจากการปลูกสร้างกีดขวาง แม้เป็นผู้เช่า
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกเพิงชายตลิ่งหน้าบ้านโจทก์กีดขวางบังหน้าบ้านโจทก์ ปิดบังทางลม แสงสว่าง ปิดบังทิวทัศน์ ขอให้จำเลยรื้อเพิงออกไปเป็นการขอให้ขจัดความเดือดร้อนตาม ป.พ.พ.มาตรา 1337 แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะให้จำเลยยุติการกระทำที่เป็นละเมิดด้วย แม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินหากได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากการกระทำของจำเลย และได้รับความเดือดร้อนเป็นพิเศษ โจทก์อยู่ในฐานะที่จะฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนเป็นพิเศษนั้นได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้เช่าบ้านในการฟ้องขจัดความเดือดร้อนรำคาญจากการปลูกสร้างกีดขวาง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกเพิงชายตลิ่งหน้าบ้านโจทก์กีดขวางบังหน้าบ้านโจทก์ปิดบังทางลมแสงสว่างปิดบังทิวทัศน์ขอให้จำเลยรื้อเพิงออกไปเป็นการขอให้ขจัดความเดือดร้อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1337แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะให้จำเลยยุติการกระทำที่เป็นละเมิดด้วยแม้โจทก์จะเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินหากได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากการกระทำของจำเลยและได้รับความเดือดร้อนเป็นพิเศษโจทก์อยู่ในฐานะที่จะฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนเป็นพิเศษนั้นได้โจทก์จึงมีสิทธิฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิธีคุ้มครองชั่วคราว การละเมิด และการรื้อถอนทางกีดขวางทางเข้าออก
วิธีการชั่วคราวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 (2) โจทก์จะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่า คำฟ้องที่โจทก์ยื่นและในโอกาสที่ยื่นคำขอนั้นมีเหตุสมควรและมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตวรรคหนึ่ง (1) (2) และโจทก์ยังต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่า จำเลยทั้งสี่ตั้งใจจะกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิด การผิดสัญญา หรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้องตามมาตรา 255 ้รรคสาม (ก) อีกด้วย แม้ตามคำฟ้องที่โจทก์ยื่นและในโอกาสที่ยื่นคำขอนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันก่อสร้างทางเดินเท้าปิดทางเข้าออกสู่ถนนหลวงจนแล้วเสร็จไปก็ตาม แต่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาละเมิดอ้างว่า จำเลยก่อสร้างทางเดินเท้าปิดกั้นทางเข้าออกโรงสีข้าวของโจทก์สู่ถนนหลวงซึ่งเป็นทางเข้าออกมีอยู่ทางเดียว ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถใช้ทางเข้าออกได้ตามปกติขอให้รื้อถอน ดังนี้ ตราบใดที่ทางเดินเท้านั้นยังคงมีอยู่ ก็ถือได้ว่ายังมีการกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตามที่ถูกฟ้องร้องนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีทางเข้าออกโรงสีอยู่ทางเดียว การก่อสร้างทางเดินเท้าตามฟ้องย่อมทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางเข้าออกโรงสีของโจทก์ได้ตามปกติ ส่วนปัญหาว่าที่ดินของโจทก์จะต้องด้วยข้อกำหนดเงื่อนไขให้เปิดทางได้หรือไม่เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่อไปในชั้นพิจารณากรณีมีเหตุสมควรและเหตุผลเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวตามที่โจทก์ขอมาใช้ได้
of 4