คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ของต้องห้าม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7407/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเลื่อยโซ่ที่ถูกริบและนำออกขายทอดตลาดโดยมิชอบ แม้ผู้ซื้อจะสุจริต แต่เลื่อยโซ่ยังคงเป็นของต้องห้ามตามกฎหมายศุลกากร
การกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ทวิ เกี่ยวกับการช่วยรับเอาไว้ซึ่งของต้องห้ามหรือต้องจำกัดนี้ ของต้องห้ามดังกล่าวได้แก่ของซึ่งมีกฎหมายห้ามการนำเข้าหรือส่งออกไว้
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 91) พ.ศ. 2521 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ฎ. ควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2496 ได้กำหนดว่า เลื่อยโซ่พร้อมอุปกรณ์เป็นสินค้าต้องห้ามจะนำเข้าในราชอาณาจักรมิได้ หากเจ้าพนักงานยึดเลื่อยโซ่ได้จะต้องส่งเลื่อยโซ่ ดังกล่าวให้แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่อยู่ใกล้เคียงที่สุด จากนั้นกรมศุลกากรจะทำการทำลายเครื่องเลื่อยโซ่โดยไม่มีการ นำออกมาจากจำหน่าย ดังนั้น โดยสภาพของเลื่อยโซ่จึงไม่อาจนำเข้ามาในราชอาณาจักรได้เพราะต้องห้าม ตามกฎหมายดังกล่าว แม้ต่อมาจะได้มีการนำเลื่อยโซ่ดังกล่าวออกขายทอดตลาดอันเป็นการดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ใช้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ โดยดำเนินการขายตามความใน พ.ร.บ. ป่าไม้ มาตรา 64 ทวิ แต่เนื่องจากทรัพย์ของกลางเป็นของต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ศุลกากรกรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 120 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร ที่บัญญัติว่า เมื่อใดบทบัญญัติใน พ.ร.บ. ศุลกากรแตกต่างกับบทกฎหมายอื่นก็ให้ยกบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. ศุลกากรใช้บังคับ เมื่อศาลสั่งริบเลื่อยโซ่ของกลางอันเป็นของต้องห้าม จึงต้องมีการจัดการให้เป็นไปตามมาตรา 25 การที่ เจ้าหน้าที่ได้นำของต้องห้ามดังกล่าวมาขายทอดตลาดโดยขัดต่อบทกฎหมาย การขายทอดตลาดจึงหาทำให้เลื่อยโซ่ซึ่งเป็นของต้องห้าม กลับเป็นของชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดไม่
แม้เลื่อยโซ่ของกลางเป็นของต้องห้าม แต่จำเลยผู้ครอบครองทรัพย์ที่ได้จากการที่มีผู้ซื้อทรัพย์มาจากการ ขายทอดตลาด โดยจำเลยรู้ว่าทรัพย์ของกลางดังกล่าวได้มาจากการทอดตลาดโดยเปิดเผยและจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าเลื่อยโซ่ดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ประชาชนครอบครองใช้สอยได้ และมิใช่ของต้องห้ามหรือของต้องจำกัด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7407/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์ที่ได้จากการขายทอดตลาดของกลางที่เป็นของต้องห้ามตามกฎหมายศุลกากร การกระทำไม่เป็นความผิด
การกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิเกี่ยวกับการช่วยรับเอาไว้ซึ่งของต้องห้ามหรือต้องจำกัดซึ่งมีกฎหมายห้ามนำเข้าหรือส่งออกไว้นั้นมีประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 91)ฯ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 9)ฯ ที่กำหนดว่า เลื่อยโซ่พร้อมอุปกรณ์เป็นสินค้าต้องห้ามจะนำเข้าในราชอาณาจักรมิได้ หากเจ้าพนักงานยึดเลื่อยโซ่ได้จะต้องส่งให้กรมศุลกากรเพื่อทำการทำลายโดยไม่มีการนำออกมาจำหน่ายตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 25ดังนั้น แม้ต่อมาจะได้มีการนำเลื่อยโซ่ดังกล่าวออกขายทอดตลาดโดยเจ้าหน้าที่หน่วยราชการเป็นผู้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา 64 ทวิ ก็เป็นการนำสินค้าต้องห้ามออกขายทอดตลาดโดยมิชอบ เนื่องจากเป็นการขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นของต้องห้ามตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ จึงต้องด้วยมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ที่บัญญัติว่า เมื่อใดบทบัญญัติในพระราชบัญญัติศุลกากรฯ แตกต่างกับบทกฎหมายอื่นก็ให้ยกบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ใช้บังคับ การขายทอดตลาดเลื่อยโซ่ซึ่งเป็นของต้องห้ามจึงขัดต่อกฎหมายและไม่ทำให้กลับเป็นของชอบด้วยกฎหมายได้
การที่จำเลยครอบครองทรัพย์ที่ได้จากการที่มีผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดโดยรู้ว่าทรัพย์ของกลางได้มาจากการขายทอดตลาดโดยเปิดเผยจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้เข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นทรัพย์ที่ประชาชนครอบครองใช้สอยได้และมิใช่ของต้องห้ามหรือของต้องจำกัด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำของออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายในอดีต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยสถานเดียวเป็นเงิน 56,025 บาท คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ประกาศกระแสพระบรมราชโองการให้ใช้สัญญาว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างพระราชอาณาจักรสยามกับกลันตันไทรบุรีเปอร์ลิศ และสหรัฐมลายู ลงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2467 เป็นพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วถือว่าเป็นที่ทราบทั่วกันและเป็นข้อที่ศาลรับรู้ได้เอง มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องนำสืบโจทก์จึงไม่ต้องนำสืบถึงความมีอยู่ของประกาศกระแสพระบรมราชโองการดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำของต้องห้ามต้องจำกัดผ่านเขตแดนโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร แม้ยังไม่ถึงด่าน ก็ถือมีความผิด
การที่จำเลยนำของกลางซึ่งเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดผ่านเขตแดนเข้ามาในราชอาณาจักร โดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร โดยนำผ่านเขตแดนเข้ามาแล้ว แม้ยังไม่ได้ล่วงเลยด่านที่จะต้องเสียภาษีศุลกากร ถูกจับเสียก่อน ก็ต้องมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำเข้าของต้องห้ามโดยเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี แม้ยังไม่ถึงด่านศุลกากรก็ถือเป็นความผิด
การที่จำเลยนำของกลางซึ่งเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดผ่านเขตแดนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรโดยนำผ่านเขตแดนเข้ามาแล้วแม้ยังไม่ได้ล่วงเลยด่านที่จะต้องเสียภาษีศุลกากรถูกจับเสียก่อน ก็ต้องมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2484

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามนำของต้องห้ามออกนอกประเทศ ต้องลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 60 ไม่ใช่ความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
การหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรหรือการฉ้อหรือพยายามฉ้อภาษีเป็นความผิดซึ่งกฎหมายระบุให้ลงโทษอย่างเดียวกัน แต่การนำของต้องห้ามไม่มีกฎหมายระบุเป็นพิเศษ ฉะนั้นถ้าเป็นเพียงพยายามก็ต้องลงโทษฐานพยายามตามกฎหมายอาญามาตรา 60