คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ขอบเขตฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 43 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีอาญา การจำกัดบทฟ้อง และการพิจารณาเฉพาะการกระทำที่ถูกกล่าวหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน2537 ในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 1 ห่อ หนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้จำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้ ช. ไปในราคา 90 บาท ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2537 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในคดีอื่น แสดงว่า โจทก์มีความประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยเฉพาะการกระทำของจำเลยเมื่อวันที่ 7 กันยายน2537 เท่านั้น
เฮโรอีนของกลางคดีนี้ไม่ใช่เฮโรอีนจำนวน 3 หลอดที่เจ้าพนักงานยึดได้จากบ้านจำเลยในวันที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 3 หลอดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคแรก และไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีอาญา: โจทก์จำกัดการลงโทษเฉพาะความผิดตามที่บรรยายฟ้อง แม้มีหลักฐานการกระทำผิดอื่น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดเมื่อ วันที่ 7 กันยายน 2537 ในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 1 ห่อหนัก 0.13 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และได้จำหน่ายเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวให้ช. ไปในราคา 90 บาท ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2537 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลย ได้ในคดีอื่น แสดงว่า โจทก์มีความประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยเฉพาะการกระทำของจำเลยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537เท่านั้น เฮโรอีนของกลางคดีนี้ไม่ใช่เฮโรอีนจำนวน 3 หลอดที่เจ้าพนักงานยึดได้จากบ้านจำเลยในวันที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในข้อหามีเฮโรอีนจำนวน 3 หลอดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรกและไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7850/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการทำไม้ตามฟ้อง: การชักลากไม้เกินคำฟ้อง
แม้ตามบทวิเคราะห์ศัพท์ในมาตรา 4 (5) แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้พ.ศ.2484 และ มาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ให้นิยามความหมายของคำว่า "ทำไม้" นอกจากจะหมายความว่า "ตัด" "ฟัน""ทอน" แล้วยังรวมถึง "ชักลาก" ด้วยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำไม้โดยตัดฟันออกจากต้นแล้วทอนเป็นท่อน ๆ โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ดังนี้ ข้อที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยชักลากไม้ออกจากป่า เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือคำฟ้องจึงรับฟังลงโทษจำเลยฐานทำไม้โดยการชักลากไม้ออกจากป่าไม่ได้ ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2941/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถาน: เหตุอันสมควรและการพิสูจน์เจตนา การจำกัดขอบเขตการพิจารณาตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองมายืนที่หน้าบ้านผู้เสียหายทั้งสอง ห่างบันไดขึ้นบ้านประมาณ1 วา แล้วจำเลยที่ 1 ร้องบอก ว. น้องผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอยู่บนบ้านว่า ที่ ว. ยืมเงินจำเลยที่ 1 มาและให้เด็กนำเงินไปคืนนั้นยังขาดอยู่ 100 บาท ว. ให้ผู้เสียหายที่ 2ลงไปพูดกับจำเลยที่ 1 แม้จะเป็นเวลา 19 นาฬิกาเศษ แต่ผู้เสียหายที่ 2 กำลังคิดเงินให้ลูกจ้างตัดอ้อยอยู่ จำเลยทั้งสองก็เป็นญาติกับผู้เสียหายที่ 2 ด้วย จำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นไปบนบ้าน ไม่มีเจตนาจะมาตบตีผู้เสียหายที่ 2 ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุผลอันสมควร การที่ผู้เสียหายที่ 2 ลงจากบ้านไปพูดกับจำเลยที่ 1 แล้วเกิดโต้เถียงกันจนเกิดตบตีกันขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานบุกรุก
ข้อเท็จจริงที่ว่าหลังจากจำเลยทั้งสองทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 แล้ว ผู้เสียหายที่ 1บอกจำเลยทั้งสองให้ออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ออกไปกลับด่าผู้เสียหายที่ 1 และทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 อีกนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษศาลไม่อาจนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาลงโทษจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9214/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องแย้งในคดีมรดก: ฟ้องแย้งต้องเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายนำที่ดิน 6 แปลง อันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายมาแบ่งปันให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสิทธิการเป็นทายาทโดยธรรม ส่วนจำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองรื้อถอนกำแพงและยุ้งข้าวออกไปจากที่ดิน พร้อมทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเนื่องจากโจทก์ทั้งสองไม่ยอมออกไปจากที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นของจำเลยที่ได้รับการยกให้มาจากผู้ตายก่อนแล้ว กับขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองเสียค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยดำเนินการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งของศาลชั้นต้นให้แก่จำเลยบางส่วนตามที่โจทก์ทั้งสองได้ตกลงกับจำเลยไว้ก่อนว่าจะร่วมเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ให้แก่จำเลยในภายหลัง ดังนี้ ตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสิทธิการเป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตาย แต่ตามฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการฟ้องขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองรับผิดต่อจำเลยเป็นการส่วนตัวทั้งสิ้นจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมที่ศาลจะรับฟ้องแย้งของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 797/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต, อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา, และขอบเขตการบังคับคดีตามคำฟ้อง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา196วรรคสองการเปลี่ยนเงินให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินณสถานที่และในเวลาที่ใช้เงินอัตราแลกเปลี่ยนเงินหมายถึงอัตราแลกเปลี่ยนกันโดยเสรีซึ่งคิดโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ที่ขายเงินตราของต่างประเทศเป็นเงินตราของประเทศในกรุงเทพฯเป็นเกณฑ์และเพื่อความสะดวกแก่การบังคับคดีจึงให้คิดในวันที่มีคำพิพากษาของศาลถ้าไม่มีอัตราการขายในวันดังกล่าวก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราการขายนั้นก่อนวันพิพากษาแต่ทั้งนี้โจทก์ก็ไม่อาจรับชำระเงินจากจำเลยเกินกว่าจำนวนเงินตามคำขอท้ายฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3197/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินขอบเขตฟ้อง: คดีเช่าที่ดิน การตีราคาและขอบเขตการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินบางส่วนของโจทก์เพื่อปลูกบ้านขอให้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์ย่อมมีความหมายว่าขอให้ ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าแม้จำเลยให้การว่ามีสิทธิครอบครองเกินส่วนที่เช่าเพื่อปลูกบ้านแต่จำเลยมิได้ ฟ้องแย้งไว้ดังนั้นจึงพิพาทกันเฉพาะที่ดินที่จำเลยเช่าเพื่อปลูกบ้านเท่านั้นเมื่อที่ดินดังกล่าวมีราคาพิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทในชั้นอุทธรณ์คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินเกินส่วนที่พิพาทจึงเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่ปรากฏในฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3197/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจศาล: การบังคับตามคำฟ้องเฉพาะเนื้อที่เช่า การพิพากษาเกินฟ้องเป็นอธิกรณ์ต้องห้าม
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างชัดแจ้งว่าจำเลยเช่าที่ดินโจทก์เนื้อที่30ตารางวาและปลูกบ้านเลขที่16/4บนที่ดินดังกล่าวอยู่อาศัยตลอดมาโดยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่16/4ออกไปจากที่ดินโจทก์ที่จำเลยทำสัญญาเช่ามามิได้ขอให้บังคับขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์เนื้อที่เกินกว่า30ตารางวาแม้จะกล่าวอ้างด้วยว่าที่ดินที่จำเลยเช่าเป็นแปลงเดียวกับที่ดินเนื้อที่11ไร่เศษและจำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องจำเลยมีสิทธิครอบครองอยู่4ไร่โดยโจทก์มอบให้เพื่อชำระราคาที่ดินที่จำเลยขายให้แก่โจทก์แต่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งไว้คดีจึงไม่มีประเด็นพิพาทว่าจำเลยครอบครองที่ดินในส่วนที่เกินกว่า30ตารางวาคงพิพาทและบังคับกันได้เฉพาะที่พิพาทตามฟ้องเนื้อที่30ตารางวาศาลย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยเลยไปถึงว่าให้จำเลยออกไปจากที่ดินเนื้อที่3ไร่เศษของโจทก์ได้เพราะเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6516/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษคดีอาญาที่เกิดในทะเลหลวง และขอบเขตการฟ้องคดีปล้นทรัพย์-ฆ่า
ความผิดเกิดขึ้นในทะเลหลวง นอกราชอาณาจักรไทยศาลไทยจะลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นคนไทยในข้อหาความผิดต่อชีวิตตาม ป.อ.มาตรา 8 (4) ได้ต่อเมื่อผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 8 (ก)แต่คดีนี้ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียหายเป็นใครบ้าง และไม่ปรากฏว่าจะมีผู้ใดซึ่งสามารถจัดการแทนผู้ตายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) ได้ดำเนินการร้องขอให้ศาลไทยลงโทษ ที่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ขอให้ลงโทษก็เฉพาะผู้เสียหายทั้งสี่ที่ถูกปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าเท่านั้น ฉะนั้น จึงลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นไม่ได้ คงลงโทษได้เฉพาะข้อหาปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งผู้เสียหายทั้งสี่ได้ร้องทุกข์ขอให้ลงโทษจำเลยแล้วเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาปล้นทรัพย์ไว้ในข้อ 1 ก.แยกต่างหากจากข้อหาฆ่าและพยายามฆ่าซึ่งอยู่ในข้อ 1 ข. เพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้มีดและขวานเป็นอาวุธในการปล้นทรัพย์โดยใช้เรือยนต์ซึ่งใช้ในการประมงเป็นยานพาหนะเท่านั้น ไม่ได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วยถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยดังกล่าว ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคท้าย ได้เพราะเป็นการเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 คงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะเพื่อการทำผิดเท่านั้น
หลังจากที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ได้แล้ว ได้ถอยเรือไปอยู่ห่างจากเรือของผู้เสียหายาทั้งสี่กับพวกประมาณ 20 เมตร เพื่อรอดูเรือประมงลำที่ 3 และลำที่ 4 เข้ามาเทียบกับเรือผู้เสียหายทั้งสี่กับพวกแล้วลูกเรือประมงลำที่ 3 ขึ้นไปพาพวกของผู้เสียหายทั้งสี่ที่เป็นหญิง 6 คน ขึ้นไปบนเรือประมงลำที่ 3เสร็จ แล้วเรือประมงลำที่ 3 และลำที่ 4 จึงแล่นออกไป หลังจากนั้นจำเลยกับพวกขับเรือประมงพุ่งเข้าชนเรือผู้เสียหายทั้งสี่กับพวกจนมีพวกของผู้เสียหายตกทะเลหายไปประมาณ 20 คน นั้น ยังอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์ เพราะเป็นเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องจากการได้ทรัพย์และพาเอาทรัพย์ที่ปล้นได้ไป เจตนาที่จำเลยกับพวกต้องการให้ผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายก็เพื่อปกปิดการที่ตนกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นเอง การพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์ซึ่งต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90
ปัญหาข้อกฎหมายเหล่านี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามป.วิ.อ. มาตรา 195, 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3478-3479/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฟ้องคดีอาญาและการพิสูจน์ความร่วมกระทำผิด การฎีกาเฉพาะส่วนนอกฟ้อง
พนักงานอัยการยื่นฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในมูลความผิดเดียวกัน ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน แล้วพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ดังนี้ พนักงานอัยการไม่มีสิทธิฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้อง
of 5