พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5342/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาททั้งสองฝ่ายในคดีขับรถชน ผู้ตายมีส่วนผิด ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์
ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามฟ้องโจทก์ว่า เหตุที่รถทั้งสองเกิดเฉี่ยวชนกันทำให้รถยนต์ทั้งสองคันเสียหายและผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ศ. บุตรผู้ตายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาชี้ชัดจำเลยประมาทขับรถชนผู้เสียหาย หลักฐานแน่น พยานยืนยัน การรับสารภาพไม่ช่วยลดโทษ
บนถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง มีรถยนต์กระบะของจำเลยแล่นมาเพียงคันเดียว แม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานเห็นตอนที่รถจักรยานยนต์ของผู้ตายถูกชนก็ตาม แต่ภิกษุ จ. ซึ่งขับรถจักรยานยนต์สวนกับรถยนต์กระบะสีน้ำเงินที่ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายก็เห็นแทบจะในทันทีทันใดทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตรส่วน ท. ซึ่งรู้จักจำเลยมานานเพราะเป็นเพื่อนบ้านกันก็เห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวเป็นประจำ นอกจากนี้เมื่อนำรถจักรยานยนต์ของผู้ตายและรถยนต์กระบะของจำเลยมาเปรียบเทียบร่องรอยที่เกิดขึ้นแล้วสามารถเข้ากันได้ และจากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญตามหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์พบว่า เศษสีฟ้าที่ปลายคันเบรกรถจักรยานยนต์และที่คอปกเสื้อที่หน้าอกของผู้ตายมีลักษณะและคุณสมบัติน่าเชื่อว่าเป็นสีฟ้าชนิดเดียวกับสีฟ้าของรถยนต์จำเลย แม้จะไม่สามารถบอกยี่ห้อสีได้ก็มิใช่ข้อพิรุธ แต่การที่จำเลยอ้างว่านำรถไปซ่อมปะผุแล้วซื้อสีมาพ่นเองกลับเป็นพิรุธ เพราะรถมีรอยซ่อมข้างขวาเพียงด้านเดียวเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
เหตุบรรเทาโทษเพราะรับสารภาพนั้นจะต้องให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การที่เจ้าพนักงานตรวจสอบพบการกระทำผิดจากรถยนต์ของจำเลยที่ยึดมาแล้วจึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพก็ย่อมพิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย จึงเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้
เหตุบรรเทาโทษเพราะรับสารภาพนั้นจะต้องให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การที่เจ้าพนักงานตรวจสอบพบการกระทำผิดจากรถยนต์ของจำเลยที่ยึดมาแล้วจึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพก็ย่อมพิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย จึงเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7514/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความประมาทในคดีขับรถชน และหน้าที่ตามกฎหมายจราจร หากพิสูจน์ความประมาทไม่ได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถแล่นสวนกับรถของผู้เสียหายโดยประมาท จำเลยจึงมิใช่ผู้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น จำเลยย่อมไม่มีหน้าที่ต้องแสดงตัวหรือแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78,160 วรรคแรกจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที แม้ความผิดในข้อหาดังกล่าวจะยุติโดยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในข้อหานี้ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า พิจารณาจากพฤติการณ์การขับรถชนและหลบหนี
การที่จำเลยขับรถบรรทุกออกจากจุดจอดชนรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเป็นเหตุให้ผู้เสียหายและรถจักรยานยนต์กระเด็นไปห่างจากจุดชน 2 ถึง 3 เมตรแสดงว่าจำเลยขับรถชนรถจักรยานยนต์ไม่แรง หลังจากขับรถจักรยานยนต์แล้วจำเลยขับรถหนีไปทันที หาได้ขับรถตามไปชน หรือทับผู้เสียหายขณะล้มอยู่บนถนนไม่ แสดงว่าจำเลยมีเจตนา ขับรถชนจักรยานยนต์โดยเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นว่าเป็น การทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความประมาทในคดีขับรถชน ผู้ขับต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ หากผู้ถูกชนสวนเข้ามาในช่องทางเดินรถของผู้ขับโดยไม่มีเหตุผลย่อมไม่ถือว่าผู้ขับประมาท
พยานโจทก์คือจ่าสิบตำรวจ ก. และร้อยตำรวจโท ส.เป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองหรือมีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดคำเบิกความดังกล่าวจึงมีน้ำหนักรับฟังได้เมื่อจ่าสิบตำรวจ ก. เบิกความว่าหลังเกิดเหตุรถชนกันไม่นานพยานไม่เห็นจำเลยมีอาการผิดปกติและไม่มีกลิ่นสุราจากจำเลยและร้อยตำรวจโท ส.ก็เบิกความว่าในคืนเกิดเหตุพยานได้สอบถามจำเลยจำเลยก็เล่าพฤติการณ์ที่เกิดเหตุรถชนกันให้ฟังได้ซึ่งหากจำเลยเมาสุราจ่าสิบตำรวจ ก. น่าจะสังเกตเห็นและจำเลยคงเล่าลำดับเหตุการณ์ให้ร้อยตำรวจโท ส. ฟังไม่ได้พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถในขณะเมาสุรา จำเลยขับรถยนต์มาในช่องเดินรถของจำเลยชิดไหล่ทางด้านซ้ายมือแม้จะเห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ส่ายไปส่ายมาก่อนเกิดเหตุแต่ก็ยังอยู่ในช่องเดินรถของผู้ตายจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าผู้ตายจะขับรถตรงเข้ามาชนรถของจำเลยเพราะไม่ปรากฏเหตุจำเป็นใดๆที่ผู้ตายต้องกระทำเช่นนั้นเมื่อผู้ตายขับรถสวนเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิดเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะห้ามล้อรถให้หยุดได้ในทันทีทั้งไม่มีเวลาพอที่จะบังคับรถยนต์หลบหลีกรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้ทันจึงเกิดเหตุชนกันขึ้นพฤติการณ์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5594/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดในคดีขับรถชน ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วตามกฎหมายและได้รับสัญญาณไฟเขียว ไม่เป็นความผิด
ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมาตามถนนรัชดาภิเษกขาเข้ามุ่งหน้าจะไปห้วยขวางด้วยความเร็วประมาณ70-80กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นการใช้ความเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอีกทั้งก่อนเกิดเหตุชนกันรถของจำเลยแล่นอยู่ในทางตรงและขณะผ่านสี่แยกที่เกิดเหตุช่องเดินรถของจำเลยได้รับสัญญาณไฟเขียวเมื่อปรากฏว่าชนกับรถของพ. ซึ่งแล่นมาตามถนนรัชดาภิเษกขาออกจะเลี้ยวขวาเข้าถนนสุทธิสารย่อมแสดงว่าพ. เป็นผู้ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงเลี้ยวขวาตรงสี่แยกที่เกิดเหตุตัดหน้ารถจำเลยทำให้ภ. ซึ่งโดยสารมากับรถคันดังกล่าวถึงแก่ความตายดังนี้ผลที่เกิดขึ้นหาได้เป็นผลโดยตรงมาจากการที่จำเลยมิได้ชะลอความเร็วของรถลงแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความประมาทในคดีขับรถชน และสิทธิของโจทก์ร่วมที่จำกัดเฉพาะความเสียหายทางอาญา
โจทก์มีแต่ร้อยตำรวจโท พ.เบิกความว่าได้รับแจ้งว่ามีคนถูกรถยนต์ชนจึงไปที่เกิดเหตุ และได้ทำแผนที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ นอกจากนี้โจทก์มีคำให้การชั้นสอบสวนของนาย ว.ซึ่งให้การเพียงว่าพบหญิงลักษณะถูกรถชนนอนหมดสติอยู่ในถนนจึงนำส่งโรงพยาบาล แต่หญิงดังกล่าวถึงแก่ความตายเสียก่อนโดยโจทก์ไม่มีพยานใดแสดงว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทสำหรับบันทึกการตกลงเรื่องค่าเสียหายที่มีข้อความว่าฝ่ายสามีผู้ตายเรียกค่าเสียหาย 500,000 บาท แต่ฝ่ายจำเลยเสนอให้เพียง50,000 บาท ก็ไม่ใช่ข้อชี้ไปถึงว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาท ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยและนาย ส.เป็นพยานเบิกความปฏิเสธว่าเหตุรถยนต์ชนผู้ตายไม่ได้เกิดจากความประมาทของจำเลย ดังนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีได้ก็ถือว่าให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะในข้อหาความผิดตาม ป.อ.มาตรา 291 เท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในข้อหาความผิดนี้ส่วนข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,78,157,160 รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานนี้โดยตรง จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย เป็นโจทก์ร่วมในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้และไม่มีสิทธิฎีกาในข้อหาความผิดนี้ ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อหาความผิดนี้ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1919/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความรับผิดทางอาญา: พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถชน
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยขับรถยนต์ ชนผู้ตายนาย อ. และนาย จ. เห็นเหตุการณ์หลังจากรถยนต์ ชนผู้ตายแล้วจำได้ เพียงว่าเป็นรถยนต์ นั่งสีเทาบรอนซ์ หมายเลขทะเบียนเท่าไรจังหวัดใด ยี่ห้อใด ไม่มีใครรู้เห็นและจำได้ นาย จ. เห็นจำเลยขับรถยนต์ คันนี้ผ่านไปผ่านมาหลายครั้ง แต่ คืนเกิดเหตุก็มิได้ตาม ไปบ้านจำเลย และมิได้บอกบิดาผู้ตายในคืนเกิดเหตุว่ารถยนต์ ของจำเลยชนคนตาย แม้จะปรากฏรอยฉีก ที่ยางกันชนด้านหน้าขวาของ รถ จำเลยเป็นรอยเกิดขึ้นใหม่ ๆ และมีรอยโลหิตเป็นจุดอยู่ใกล้กับ ดวงไฟรถด้านขวาก็ตาม แต่ ผู้ชำนาญการพิเศษได้ ตรวจ พิสูจน์แล้ว ปรากฏว่า คราบโลหิตดังกล่าวเป็นโลหิตคนละหมู่กับโลหิตผู้ตาย เช่นนี้ พยานโจทก์ไม่พอฟังว่ารถยนต์ ของจำเลยชนผู้ตายโดย จำเลยเป็น คนขับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีขับรถชนแล้วหลบหนี เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องในประเด็นผู้กระทำผิด
ความผิดฐานหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา 78,160 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อ ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถชนผู้ตายแล้ว ความผิดในข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์รับพิจารณาในข้อหานี้โดยลงโทษจำเลยก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในข้อหาดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีขับรถชนแล้วหลบหนี ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้อง
ความผิดฐานหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 78,160 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถชนผู้ตายแล้ว ความผิดในข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์รับพิจารณาในข้อหานี้โดยลงโทษจำเลยก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในข้อหาดังกล่าว.