พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6595/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้จัดการมรดกในการขายทรัพย์มรดกและการแบ่งปันผลประโยชน์
จำเลยที่ 1 เป็นทายาทและเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของว. ท. และ ส. ทายาทซึ่งเป็นผู้เยาว์ และจำเลยที่ 1 ยังเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายด้วย ก่อนจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ได้เรียกประชุมทายาทโดยมีจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทั้ง3 คน และมีทายาทอื่นรวมทั้ง ห. ผู้แทนของโจทก์ร่วมประชุมด้วย ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ ให้ผู้จัดการมรดกดำเนินการนำที่ดินพิพาทจัดการหาผลประโยชน์เข้ามากองมรดกต่อไป หลังจากมีการขายที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้แบ่งปันเงินที่ได้ให้แก่ทายาทตามส่วน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทไปในขอบเขตอำนาจของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์แต่เป็นเรื่องผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกซึ่งจะนำ ป.พ.พ. มาตรา 1574 มาใช้บังคับไม่ได้ นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทไม่เป็นโมฆะ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ตามสัญญาประนี-ประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม แต่คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความในคดีเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมโอนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดก แม้จะยังไม่ได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดนั้นก็ตามก็ถือได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกตกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะต้องจัดการแบ่งปันแก่ทายาทด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากทายาทจำเลยที่ 1 มีอำนาจโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ตามสัญญาประนี-ประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม แต่คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความในคดีเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมโอนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดก แม้จะยังไม่ได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดนั้นก็ตามก็ถือได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกตกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะต้องจัดการแบ่งปันแก่ทายาทด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากทายาทจำเลยที่ 1 มีอำนาจโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5072/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทรัพย์เพื่อชำระหนี้ไม่เข้าข่ายโกงเจ้าหนี้ หากทรัพย์ที่ยึดมีมูลค่าสูงกว่าหนี้
โค 5 ตัวที่โจทก์นำยึดมาเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์นั้นมีราคามากกว่าหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้จำนอง จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่ได้รับชำระหนี้ทั้งหมด หรือเพียงบางส่วนแต่อย่างใด จำเลยที่ 1จึงไม่ได้กระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพิเศษโกงเจ้าหนี้: การขายทรัพย์เพื่อชำระหนี้ แม้มีข้อพิพาทเรื่องหนี้ ก็ไม่ถือเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 จะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้
จำเลยขายทรัพย์จำนองเพื่อชำระหนี้จำนองภายหลังได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้ จำเลยมิได้ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ เมื่อถูกฟ้อง จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้หรือไม่ยังโต้เถียงกันอยู่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350.(ที่มา-ส่งเสริม)
จำเลยขายทรัพย์จำนองเพื่อชำระหนี้จำนองภายหลังได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้ จำเลยมิได้ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ เมื่อถูกฟ้อง จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้หรือไม่ยังโต้เถียงกันอยู่ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพิเศษโกงเจ้าหนี้: การขายทรัพย์เพื่อชำระหนี้ แม้มีข้อพิพาทเรื่องหนี้สิน ไม่ถือเป็นความผิด
ผู้ที่จะมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จะต้องกระทำโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้ จำเลยเป็นหนี้จำนองผู้มีชื่อ จึงขายทรัพย์จำนองพร้อมสิทธิการเช่าโทรศัพท์เพื่อชำระหนี้จำนองตามปกติ แม้จะเป็นการขายหลังจากทราบว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ก็ตาม ทั้งเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ จำเลยก็ต่อสู้ว่ามิได้เป็นหนี้โจทก์คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล โจทก์จะเป็นเจ้าหนี้หรือไม่ยังโต้เถียงกันอยู่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3142/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินจากการขายทรัพย์ก่อนล้มละลาย ไม่ถือเป็นเงินที่ได้ระหว่างล้มละลาย จึงไม่มีสิทธิขอเป็นค่าเลี้ยงชีพ
จำเลยจำนองที่ดินไว้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด เป็นเงิน 300,000 บาท ต่อมาศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวได้เงิน 430,000 บาท เกินหนี้ที่จำนอง 130,000 บาท เงินจำนวนดังกล่าวนี้เป็นเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ซึ่งจำเลยมีมาก่อนล้มละลาย แม้จะขายทอดตลาดและได้เงินจำนวนนี้มาในระหว่างที่จำเลยถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เงินจำนวนนี้ก็มิใช่เงินที่จำเลยได้มาระหว่างล้มละลาย จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอาเงินจำนวนดังกล่าวมาจ่ายเลี้ยงชีพจำเลยและครอบครัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 67 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีสัญญาประนีประนอมยอมความ: ศาลไม่อาจบังคับคดีเมื่อทรัพย์ตามสัญญาถูกขายไปแล้ว
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลระบุว่าทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้โจทก์และทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้จำเลย ทรัพย์ที่โจทก์จำเลยได้รับแบ่งไปเป็นส่วนของตนนี้มีสัญญายอมความอีกข้อหนึ่งบังคับไว้ว่า ทั้งโจทก์จำเลยจะต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์นั้นๆให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลย ต่อมาโจทก์เอาทรัพย์ส่วนแบ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีข้อผูกมัดให้โจทก์ต้องทำพินัยกรรมยกให้แก่บุตรนั้นไปขายให้แก่บุคคลอื่นเสียบางส่วน เช่นนี้จึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถจะบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ปฏิบัติตามคำบังคับที่จำเลยร้องขอให้จับขังโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297 ที่ศาลจะมีคำสั่งจับกุมและกักขังโจทก์ ผู้เป็นลูกหนี้ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อมีการขายทรัพย์ตามพินัยกรรม: ศาลไม่อาจบังคับคดีได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลระบุว่าทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้โจทก์และทรัพย์ส่วนใดแบ่งให้จำเลย ทรัพย์ที่โจทก์จำเลยได้รับแบ่งไปเป็นส่วนของตนนี้มีสัญญายอมความอีกข้อหนึ่งบังคับไว้ว่า ทั้งโจทก์จำเลยจะต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์นั้น ๆ ให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลย ต่อมาโจทก์เอาทรัพย์ส่วนแบ่งตาม สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีข้อผูกมัดให้โจทก์ต้องทำพินัยกรรม ยกให้แก่บุตรนั้นไปขายให้แก่บุคคลอื่นเสียบางส่วน เช่นนี้จึงเป็นกรณี ที่ไม่สามารถจะบังคับให้โจทก์ผู้เป็นลูกหนี้ปฏิบัติตามคำบังคับที่จำเลยร้องขอให้จับขังโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297 ที่ศาลจะมีคำสั่งจับกุมและกักขังโจทก์ ผู้เป็นลูกหนี้ให้ ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งขายทรัพย์ที่ยึดชั่วคราวของห้างหุ้นส่วนเพื่อป้องกันความเสียหาย
ในคดีเรื่องขอให้ถอดถอนผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนและแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีใหม่ ในระหว่างดำเนินคดีนั้น ศาลได้สั่งยึดทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนไว้ชั่วคราว ผู้ชำระบัญชีเดิมขอให้ขายที่ดินของห้างหุ้นส่วน โดยอ้างว่า การยึดที่ดินของห้างหุ้นส่วนไว้เฉย ๆ มีแต่ทางสิ้นเปลืองและเสียหายมาก เพราะต้องเสียค่ารักษาและที่สวนยางมีอาณาเขตต์กว้างขวางยากแก่การระวังรักษา ปรากฎว่ามีคนร้ายมาลักตัดยางเป็นนิจ เป็นที่เสียหายแก่สวนยางและผู้เป็นหุ้นส่วน ดังนี้ ศาลมีอำนาจสั่งให้จัดการขายทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1850/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมการขายทรัพย์ยึดก่อนคำพิพากษาที่คู่ความตกลงกันเอง ศาลฎีกาแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียม
ทรัพย์ที่ยึดไว้ก่อนคำพิพากษา ซึ่งคู่ความได้รับอนุญาตจากศาลเอาไปจำหน่ายแล้วนำเงินมาวางศาล ให้เรียกค่าธรรมเนียมชั้นบังคับคดี ร้อยละ 3 1/2 ตามตาราง 5 หมายเลข 2.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1694/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทรัพย์โดยไม่มีอำนาจและการละเมิดต่อเจ้าของทรัพย์ แม้จะทำแทนผู้อื่นก็ต้องรับผิด
จำเลยขายทอดตลาดทรัพย์ของโจทก์โดยเชื่อทหารอังกฤษซึ่งเป็นผู้สั่งให้ขาย โจทก์มาคัดค้านในขณะขาย แต่จำเลยคงขืนขายทอดตลาดไปย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์เจ้าของทรัพย์แม้จำเลยทำแทนผู้อื่นก็ไม่พ้นความรับผิด
ข้อที่จำเลยอ้างว่าขายโดยคำสั่งของทางสหประชาชาตินั้นจำเลยจะต้องแสดงว่าสหประชาชาติมีสิทธิประการใดที่จะมาขายทรัพย์ของโจทก์ ส่วนที่จำเลยอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมจัดกิจการและทรัพย์สิน ฯลฯ นั้นก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำไปตามคำสั่งของคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. นั้นจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ข้อที่จำเลยอ้างว่าขายโดยคำสั่งของทางสหประชาชาตินั้นจำเลยจะต้องแสดงว่าสหประชาชาติมีสิทธิประการใดที่จะมาขายทรัพย์ของโจทก์ ส่วนที่จำเลยอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมจัดกิจการและทรัพย์สิน ฯลฯ นั้นก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำไปตามคำสั่งของคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. นั้นจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์