คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ขึ้นทะเบียน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 20 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานประกอบโรคศิลปะโดยไม่ขึ้นทะเบียน และทำให้แท้งลูกเป็นความผิดต่างกรรมกัน
ความผิดฐานประกอบโรคศิลปะโดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ. การประกอบโรคศิลปะ ฯ กับความผิดฐานทำให้แท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอมตามประมวลกฎหมายอาญา มีลักษณะแห่งการกระทำความผิดแตกต่างกัน โดยการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. การประกอบโรคศิลปะ ฯ ต้องเป็นการประกอบวิชาชีพ... แต่มิได้ขึ้นทะเบียนและไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนการกระทำความผิดฐานทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอมเป็นการกระทำโดยเจตนาทำให้หญิงแท้งลูก ทั้งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้คนละฉบับ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผลิตยาแผนโบราณต้องขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือผลิตเพื่อรักษาคนไข้ของตนเองเท่านั้น
ในการผลิตยาแผนโบราณตาม พ.ร.บ.ยานั้น นอกจากผู้ผลิตจะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องปรากฏว่ายาแผนโบราณที่จะผลิตนั้นต้องเป็นยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้วตามมาตรา 72 (4) หรือผู้ผลิตได้นำตำรับยานั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้วตามมาตรา 79 จึงจะผลิตยานั้นได้ หากเป็นการปรุงยาตามตำราที่รัฐมนตรีประกาศตาม พ.ร.บ.ยาพ.ศ.2510 มาตรา 76 (1) โดยผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ และเป็นการทำเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตนตามมาตรา 47 (2) แล้ว จึงจะสามารถผลิตยานั้นได้โดยไม่ต้องรับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตยาแผนโบราณตามใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเภสัชกรรม ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรมและเภสัชกรรม การที่จำเลยทั้งสองได้ดำเนินการผลิตยาแผนโบราณเป็นยาเม็ดลูกกลอนของกลาง จำนวน 2 ถุง ซึ่งมีผู้อื่นมาว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองผลิต และยาของกลางมีส่วนผสมของมหาหิงคุ์ซึ่งถือว่าเป็นยาแผนโบราณ โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งจำเลยมิได้ผลิตเพื่อรักษาคนไข้ของตนเอง การที่จำเลยทั้งสองมิได้ผลิตยาของกลางเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน แม้จำเลยทั้งสองจะได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ยาพ.ศ.2510 มาตรา 47 (2) และเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงไม่ได้ใบรับอนุญาตจากผู้อนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณได้ตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาฯ มาตรา 72 (4), 79, 122,123 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม
แม้ขณะ ป.ลงชื่อในคำร้องทุกข์ ขณะนั้นรายละเอียดต่าง ๆยังไม่ได้กรอกข้อความลงไป และ ป.ไม่ทราบว่าจะแจ้งความให้ดำเนินคดีจำเลยในความผิดฐานใดก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่า ป.เป็นผู้ได้ตรวจค้นพบยาของกลางและได้บันทึกการยึดยาไว้ เมื่อผลการตรวจพิสูจน์พบว่าของกลางเป็นเนื้อเยื่อของพืชและมหาหิงคุ์ซึ่งเป็นยาแผนโบราณ ผู้บังคับบัญชาจึงมอบหมายให้ ป.ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี ดังนั้น เมื่อ ป.ได้รับมอบหมายให้ไปร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการจะสอบสวนจำเลยในความผิดฐานใดนั้นย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการต่อไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสอบสวน ดังนั้นการสอบสวนจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผลิตยาแผนโบราณต้องขึ้นทะเบียนตำรับยาหรือมีใบอนุญาต เว้นแต่ปรุงยาตามตำราเพื่อใช้กับคนไข้ของตน
ในการผลิตยาแผนโบราณตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 นอกจากผู้ผลิตจะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องปรากฏว่ายาแผนโบราณที่จะผลิตนั้นต้องเป็นยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้ด้วย ตามมาตรา 72(4)หรือผู้ผลิตได้นำตำรับยานั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้ว ตามมาตรา 79 จึงจะผลิตยานั้นได้ แต่หากเป็นการปรุงยาตามตำราที่รัฐมนตรีประกาศตามมาตรา 76(1) โดยผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ และเป็นการทำเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตนตามมาตรา 47(2) แล้ว ก็สามารถผลิตยานั้นได้โดยไม่ต้องรับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองมิได้ผลิตยาของกลางเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน แม้จำเลยทั้งสองจะได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 47(2) และเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณได้ตามมาตรา 46 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิด
การจะสอบสวนจำเลยทั้งสองในความผิดฐานใดนั้น ย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการต่อไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสอบสวน เมื่อข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจค้นและพิสูจน์ยาของกลางพบว่าเป็นเนื้อเยื่อของพืชและมหาหิงคุ์ซึ่งเป็นยาแผนโบราณ ดังนั้น แม้ ป. จะลงชื่อในคำร้องทุกข์โดยยังไม่ได้กรอกข้อความรายละเอียดต่าง ๆ ลงไปเพราะไม่ทราบว่าจะแจ้งความให้ดำเนินคดีจำเลยในความผิดฐานใดก็ตาม ก็ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไป การสอบสวนจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1381/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสาธารณประโยชน์: การพิจารณาตามสภาพการใช้ประโยชน์ แม้ไม่มีการขึ้นทะเบียนหรือพระราชกฤษฎีกากำหนด
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครที่ 2106/2523ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2523 ที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ของโจทก์ จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แม้ว่าถ้ามีการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล้วจะมีผลทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และที่ดินดังกล่าวมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ก็ตาม แต่ต้องถือว่าคำขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสกลนครเป็นคำขอหลัก ส่วนที่โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินเป็นผลที่ได้ตามมา จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่ดินที่ประชาชนในหมู่บ้านสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันในการใช้เลี้ยงสัตว์ ย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304
การที่จะพิจารณาว่า ที่ดินแปลงใดเป็นที่สาธารณะหรือไม่ ต้องพิจารณาตามสภาพของที่ดินและการใช้ที่ดินแปลงนั้นว่า เข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1304 หรือไม่ หากโดยสภาพของที่ดินเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ แม้ทางราชการจะมิได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นที่หวงห้ามตามพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งถูกยกเลิกโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2497 แล้ว และแม้ทางราชการจะมิได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ไว้ ก็หาทำให้ที่ดินซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์อยู่แล้วกลับไม่เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ไปได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7290/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึ้นทะเบียนโบราณสถานและการเวนคืนที่ดิน: การแจ้งเจ้าของและการมีอยู่ของโบราณสถาน
พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน-แห่งชาติ พ.ศ.2504 มาตรา 7 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "การขึ้นทะเบียนโบราณสถานตามความในวรรคก่อน ถ้าโบราณสถานนั้นมีเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้อธิบดีแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่พอใจ ก็ให้มีสิทธิร้องต่อศาลภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่อธิบดีแจ้งให้ทราบ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้อธิบดีระงับการขึ้นทะเบียนและหรือการกำหนดเขตที่ดินให้เป็นโบราณสถาน แล้วแต่กรณีได้ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองมิได้ร้องขอต่อศาล หรือศาลมีคำสั่งถึงที่สุดให้ยกคำร้องขอของเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ให้อธิบดีดำเนินการขึ้นทะเบียนได้" นั้น มีความมุ่งหมายเพียงให้อธิบดีกรมศิลปากรแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโบราณสถานทราบเท่านั้น มิใช่เป็นการขออนุญาตแต่อย่างใด แม้จะมีการประกาศกำหนดเขตที่ดินเป็นเขตโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 28,217 ไร่ โดยกรมศิลปากรจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ผู้อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนประกาศ แต่ก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวทราบว่าจำเลยที่ 1จะดำเนินการประกาศกำหนดเขตที่ดินบริเวณนั้นให้เป็นเขตโบราณสถาน จึงถือได้ว่าเป็นการประกาศขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นโบราณสถานโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งของกำแพงเมืองเชลียงซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ โดยมีร่องรอยเป็นแนวกำแพงเมืองผ่านตลอดริมฝั่งใต้ของแม่น้ำยมในบริเวณที่ดินพิพาทมีก้อนศิลาแลงโบราณปรากฏอยู่ นอกจากนี้ในที่ดินพิพาทยังมีบ่อน้ำโบราณอยู่โดยมีก้อนศิลาแลงโบราณทรงโค้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ่อน้ำโบราณถูกนำมาก่อสร้างเป็นขั้นบันไดริมตลิ่งแม่น้ำยมด้วย แม้จะไม่มีแนวกำแพงเมืองในที่ดินพิพาทเนื่องจากมีการขุด ทำลายกำแพงเมืองในที่ดินพิพาทและที่ดินส่วนอื่นแต่ก็ยังมีซากหรือเศษส่วนของแนวกำแพง ก้อนศิลาแลงปรากฎอยู่เป็นหลักฐานถือได้ว่าบริเวณที่พิพาทมีโบราณสถานอยู่จริง การกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและคำสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างและรื้อถอนสิ่งก่อสร้างของจำเลยที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7290/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึ้นทะเบียนโบราณสถาน: การแจ้งเจ้าของที่ดินไม่จำเป็นต้องเป็นลายลักษณ์อักษร การประชาสัมพันธ์ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
พระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพ.ศ.2504มาตรา7วรรคสองมีความมุ่งหมายเพียงให้อธิบดีกรมศิลปากรแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโบราณสถานทราบถึงการขึ้นทะเบียนโบราณสถานเท่านั้นมิใช่เป็นการขออนุญาตดังนั้นเมื่อมีการประกาศกำหนดเขตที่ดินใดเป็นเขตโบราณสถานแล้วแม้กรมศิลปากรจำเลยไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ผู้อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนประกาศก็ถือได้ว่าเป็นการประกาศขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นโบราณสถานโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโฆษณาเรียกตัวเองว่า 'จักษุแพทย์' โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและไม่ได้มีเจตนาประกอบวิชาชีพเวชกรรม ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม
จำเลยศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ได้รับปริญญา"ดอกเตอร์ออฟออปโตเมตรี" แปลว่า"จักษุแพทย์ศาสตร์บัณฑิต" ซึ่งความหมายของ "จักษุแพทย์" นั้น ได้แก่ผู้ตรวจสอบสายตา ผู้ประกอบแว่น (ไม่ได้หมายถึงผู้รักษาตาด้วยยาหรือการผ่าตัด) จำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานพยาบาลแผนปัจจุบัน สาขาเวชกรรมซึ่งมีแพทย์ประจำ แต่ตัวจำเลยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เมื่อจำเลยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำเลยได้พิมพ์นามบัตรและใบปลิวโฆษณามีคำว่า จักษุแพทย์ และชื่อสถานพยาบาลของจำเลย แต่ไม่ได้แสดงออกซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ได้แสดงใบปลิว และนามบัตรว่าได้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเกี่ยวกับการตรวจ การป้องกันและการบำบัดโรคตาและพร้อมที่จะประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามใบปลิวและนามบัตรที่ใช้โฆษณานั้น ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะแสดงวิทยฐานะทางการศึกษากับแสดงหลักฐานการประกอบอาชีพเพื่อหาคะแนนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้นหาได้มีเจตนาที่จะแสดงว่า จำเลยพร้อมที่จะประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเว้นโทษอาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 แม้ไม่นำปืนขึ้นทะเบียนหลังหมดกำหนด
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมีอาวุธปืนซึ่งไม่มีเครื่องหมายของเจ้าพนักงานไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต แต่เห็นว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 6 บัญญัติว่าถ้าผู้มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่อาจขออนุญาตได้ตามกฎหมาย นำปืนมามอบให้แก่นายทะเบียนท้องที่ภายใน 90 วัน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ ต่อมาโจทก์จะฎีกาว่าในขณะที่ศาลฎีกากำลังพิจารณาคดีนี้อยู่ ได้เลยกำหนดให้นำอาวุธปืนไปขึ้นทะเบียนเพื่อขออนุญาตแล้ว และจำเลยก็มิได้นำไปขึ้นทะเบียนภายในกำหนด จึงต้องมีความผิดฐานนี้อยู่ดังนี้ ฟังไม่ขึ้นเพราะเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาถูกต้องตามบทกฎหมายที่มีอยู่ในเวลาพิพากษาคดีแล้ว แม้จำเลยจะมิได้นำปืนไปขอรับใบอนุญาตภายใน 90 วัน ก็ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียไปศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะต้องแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเว้นโทษอาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 แม้ไม่นำปืนขึ้นทะเบียนภายใน 90 วัน ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยมีอาวุธปืนซึ่งไม่มีเครื่องหมายของเจ้าพนักงานไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต แต่เห็นว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2510 มาตรา 6 บัญญัติว่า ถ้าผู้มีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่อาจขออนุญาตได้ตามกฎหมาย นำปืนมามอบให้แก่นายทะเบียนท้องที่ภายใน 90 วัน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ ต่อมาโจทก์จะฎีกาว่าในขณะที่ศาลฎีกากำลังพิจารณาคดีนี้อยู่ได้เลยกำหนดให้นำอาวุธปืนไปขึ้นทะเบียนเพื่อขออนุญาตแล้วและจำเลยก็มิได้นำไปขึ้นทะเบียนภายในกำหนด จึงต้องมีความผิดฐานนี้อยู่ ดังนี้ ฟังไม่ขึ้นเพราะเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาถูกต้องตามบทกฎหมายที่มีอยู่ในเวลาพิพากษาคดีแล้ว แม้จำเลยจะมิได้นำปืนไปขอรับใบอนุญาตภายใน 90 วัน ก็ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียไปศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะต้องแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปืนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและข้อพิพาทเกี่ยวกับประเภทของอาวุธปืนตามกฎหมายอาวุธปืน
ปืนของกลางเป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2500เมื่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ฉบับที่3 พ.ศ.2501 ออกใช้และรัฐมนตรีได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ปืนชนิดนี้เป็นที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงครามแล้วเจ้าของก็มิได้นำไปมอบให้กับนายทะเบียนท้องที่ตามมาตรา10 ปืนนี้จึงเป็นของมีไว้เป็นความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32. จำเลยรับฝากปืนนี้ไว้จากเจ้าของก็ต้องมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ลงโทษปรับจำเลยตามศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาว่าปืนของกลางไม่ใช่ปืนเล็กยาวแบบ 83 ซึ่งใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยผิดจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน เป็นการโต้เถียงคำวินิจฉัยและดุลพินิจของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา
of 2