คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อเท็จจริงขัดแย้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5128/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดคำสั่งนายจ้างและการเลิกจ้าง: ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเนื่องจากข้อเท็จจริงขัดแย้งกัน
ศาลแรงงานได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ 2 ข้อ คือ ข้อ 1. โจทก์ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยและจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ ข้อ 2. โจทก์มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยหรือไม่โดยประเด็นข้อพิพาทที่ 1. ศาลแรงงานวินิจฉัยตอนต้นว่า โจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยซึ่งจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว แต่คำวินิจฉัยในตอนต่อมาที่ว่า การขัดคำสั่งของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งของจำเลยเป็นอาจิณนั้น เป็นการฟังว่าโจทก์ฝ่าฝืนหรือขัดคำสั่งของจำเลยคำวินิจฉัยของศาลแรงงานในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 ดังกล่าวเป็นการฟังข้อเท็จจริงเป็นสองอย่างขัดแย้งกัน ศาลฎีกาจึงไม่มีข้อเท็จจริงอันเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานที่จะนำมาวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อกฎหมายของจำเลยเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงซึ่งศาลแรงงานฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงเสียเองได้จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเสียใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31,56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบข้อเท็จจริงขัดแย้งกับเอกสารสัญญา และการให้การปฏิเสธลอยๆ ในคดีจำนอง
คำให้การของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่า โจทก์ไม่ได้ส่งเงินให้แก่จำเลยตามสัญญาจำนอง สัญญาจำนองจึงเป็นโมฆะโดยมิได้ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเหตุใดโจทก์จึงไม่ได้ส่งมอบเงินให้จำเลย นั้น เป็นคำให้การที่ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง มีผลทำให้จำเลยนำสืบต่อสู้คดีไม่ได้
สัญญาจำนองระบุว่า จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้ว จำเลยจะนำสืบว่าไม่ได้รับเงินไปตามสัญญาจำนองก็นำสืบไม่ได้ เพราะเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารจำนองซึ่งระบุไว้ว่า จำเลยได้รับเงินตามสัญญาจำนองจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 431/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกันในคดีอาญา: ศาลอุทธรณ์ต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมก่อนพิพากษา
พยานโจทก์เบิกความถึงวันเกิดเหตุตรงตามฟ้องแต่ว่าต่างกับวันที่ฟ้องไว้ในคดีก่อนไปวันหนึ่งนั้นเพียงเท่านี้จะถือว่าวันเกิดเหตุจริงคือวันที่กล่าวในฟ้องคดีก่อนยังไม่ได้ ถ้าคดีนี้เป็นจริงและคดีมีหลักฐานพอแล้วจำเลยก็ต้องมีผิด
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันไม่น่าเชื่อนั้น ถือว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงแห่งคดีแล้วศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ไม่ได้
ถ้าศาลอุทธรณ์ประสงค์จะฟังพยานต่อไปจนสิ้นกระแสความเสียก่อนก็ควรให้ศาลชั้นต้นสืบพยานให้แล้วส่งสำนวนคืนให้ศาลอุทธรณ์พิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2480

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าโดยเจตนา vs. ประมาท: ศาลยกฟ้องเนื่องจากข้อเท็จจริงขัดแย้งกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าคนตายโดยเจตนาขอให้ลงโทษตาม ม.249 พิจารณาได้ความว่าจำเลยทำให้คนตายโดยประมาทต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3714/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีโดยอ้างข้อเท็จจริงขัดแย้งกับคดีก่อนหน้าถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริิต ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1905/2550 ของศาลชั้นต้น โจทก์กล่าวอ้างว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงิน เท่ากับอ้างว่าไม่มีการซื้อขายที่ดินพิพาทกันจริง โจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองได้ เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทมีผลสมบูรณ์บังคับได้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตกเป็นของ ส. แล้ว และอ้างว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ คำฟ้องคดีนี้จึงขัดกับคำฟ้องเดิม ทั้งเป็นการอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่เพื่อประโยชน์ในเชิงคดีของโจทก์เท่านั้น อันแสดงให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าการฟ้องคดีของโจทก์ในคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง