คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อเท็จจริงนอกฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 10 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2548 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาต้องเป็นไปตามฟ้อง หากมีข้อเท็จจริงนอกฟ้อง ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้
เมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์เฉพาะส่วนที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องในข้อหานี้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่และละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจำเลยที่ 3 และที่ 4 รู้อยู่แล้วว่าโจทก์กับพวกไม่ได้ร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กลับร่วมกันรับคำร้องทุกข์กล่าวโทษและดำเนินคดีแก่โจทก์กับพวกเป็นเหตุให้โจทก์กับพวกถูกควบคุมตัวเป็นผู้ต้องหา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง สิทธิ เสรีภาพของโจทก์กับพวกเท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายในคำฟ้องเลยว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการบ่ายเบี่ยงละเลยไม่สั่งคำร้องขอประกันตัวระหว่างสอบสวนของโจทก์กับพวกแต่อย่างใด ดังนั้น แม้จะได้ความตามทางพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีพฤติการณ์ในทางบ่ายเบี่ยงละเลยไม่สั่งคำร้องขอประกันตัวระหว่างสอบสวนของโจทก์กับพวกก็ตาม ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวนั้นได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง กรณีจึงมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยที่ 4 ไม่ควรต้องรับโทษและศาลต้องยกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 มาด้วยนั้น จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาที่อาศัยข้อเท็จจริงนอกฟ้อง และประเด็นการฎีกาที่เกินกรอบการพิจารณาเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่ร่วมกับเจ้าพนักงานที่ดินทำการชี้เขตรังวัดที่พิพาทกันในเขตปกครองท้องที่ได้ร่วมกับเจ้าพนักงานที่ดินทำการชี้เขตรังวัดที่ดินที่พิพาทกัน ณ เขตรับผิดชอบ อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 136 แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ผู้เสียหายไปร่วมรังวัดที่ดินดังกล่าว โดยไม่มีเจ้าพนักงานที่ดินไปร่วมรังวัดที่ดินด้วย ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง
การที่ศาลชั้นต้นฟังว่า ผู้เสียหายไปทำการรังวัดที่ดินเพื่อระงับข้อพิพาท เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานและจำเลยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นผู้เสียหายเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ พิพากษาลงโทษจำเลยเป็นการพิพากษาโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง ฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชอบแม้ศาลอุทธรณ์ จะรับวินิจฉัยโดยเห็นว่า การที่ผู้เสียหายไปรังวัดที่ดินเพื่อระงับข้อพิพาทของราษฎรในทางแพ่ง ไม่ใช่การปฏิบัติการตามหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านหรือเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 10, 27 และพิพากษายกฟ้อง ก็ไม่ถือว่า ปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้เสียหายไปเป็นพยานในการรังวัดที่ดินเพื่อระงับข้อพิพาทของราษฎร ในทางแพ่งเป็นการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านในฐานะเจ้าพนักงาน เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิใช้ทางจำเป็นและการพิจารณาข้อเท็จจริงนอกฟ้อง
ที่ดินของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 50352 ซึ่งอยู่ท้ายซอยสุดของทางพิพาท ถูกที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้เว้นเสียแต่จะผ่านไปตามทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเพื่อออกสู่ถนนภายในหมู่บ้านและออกสู่ถนนซึ่งเป็นทางสาธารณะเพียงทางเดียว ฉะนั้น โดยนัยแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 1349 วรรคแรก โจทก์จึงชอบที่จะใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นผ่านไปสู่ทางสาธารณะได้ การที่จำเลยสร้างรั้วกำแพงปิดกั้นทางพิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา421 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้เปิดทางพิพาทซึ่งเป็นทางจำเป็นได้
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินคนละแปลงโดยแบ่งโอนมาจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 7210 ไม่ใช่แบ่งโอนมาจากที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1654 เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ โจทก์จะต้องไปเรียกร้องขอใช้ทางจำเป็นผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะบนที่ดินแปลงโฉนดที่ดินเลขที่ 7210 จะมาเรียกร้องเอาทางจำเป็นจากที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นที่ดินแปลงอื่นและไม่ได้แบ่งโอนมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 7210ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1350 ไม่ได้ โดยศาลอุทธรณ์พิจารณาจากข้อเท็จจริงที่นอกฟ้องนอกประเด็นและไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล/คณะกรรมการ, ที่ดินพิพาท, ข้อเท็จจริงนอกฟ้อง, อำนาจพิจารณา, การซื้อขายที่ดิน
เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องที่โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทคืนนาง ร. เจ้าของเดิมตามคำพิพากษาตามยอมลงวันที่ 27 ธันวาคม 2531เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 19สิงหาคม 2531 และไม่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์ ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากนาง ร. เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2530 อันเป็นมูลกรณีพิพาทตามฟ้อง ดังนั้น ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทคืน นาง ร.จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปถึงและโจทก์ทั้งสองฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่ามติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานีใช้บังคับแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ ดังนั้นปัญหาที่ว่ามติดังกล่าวมิได้ระบุจำนวนเนื้อที่ดินพิพาทไว้ หรือคำวินิจฉัยข้างต้นวินิจฉัยเพียงว่าให้ผู้เช่าทั้งห้าซื้อที่นาพิพาทจำนวนประมาณ 112 ไร่คืน จึงมิใช่สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เมื่อฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างยอมรับข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทอยู่ในตำบลหน้าไม้ และคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอของโจทก์ที่ 22-26 ได้ แม้โฉนดที่ดินพิพาทจะระบุว่าอยู่ที่ตำบลระแหงแต่โฉนดดังกล่าวก็ออกตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2467 แต่ขณะที่จำเลยที่ 22-26 ร้องต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ ที่ดินพิพาทคงอยู่ในตำบลหน้าไม้ การที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ไม่มีอำนาจพิจารณากรณีที่พิพาทของที่ดินดังกล่าวได้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5721/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงนอกฟ้อง: ศาลวินิจฉัยว่าการนำสืบข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากฟ้องไม่เป็นเหตุให้ยกฟ้อง หากยังคงสาระสำคัญของข้อหาเดิม
แม้ว่าตามคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อชนรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับซึ่งกำลังจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกแต่ทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ตายขับเกิดเสียหลักล้มคว่ำไถลเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยจึงเฉี่ยวชนกันซึ่งแตกต่างกันก็ตาม แต่ก็หาใช่ข้อสาระสำคัญไม่เพราะโจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าเหตุที่เกิดเฉี่ยวชนกันเพราะจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงทำให้จำเลยไม่สามารถห้ามล้อหยุดรถได้ทันและไม่สามารถควบคุมรถเพื่อไม่ให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้ อันเป็นคำฟ้องในส่วนสาระสำคัญ ซึ่งทางพิจารณาโจทก์ก็นำสืบได้ความตามคำฟ้องส่วนนี้ ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ จึงหาใช่เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องอันศาลจะต้องยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1985/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องในคดีขับรถประมาท – ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ในฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและชิดท้ายรถที่จำเลยที่ 1 ขับนำอยู่ทางด้านขวา ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ไม่ลดความเร็วของรถเมื่อใกล้ทางร่วมทางแยก ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงเรื่องทางร่วมทางแยกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือคำฟ้องมาลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2464/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องนอกเหนือจากข้อหาเดิม เป็นการกระทำที่มิชอบ ศาลรับฟังลงโทษไม่ได้
เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยขับรถจักรยานยนต์แซงขึ้นหน้ารถคันอื่นตรงบริเวณทางแยก ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือจากฟ้อง จะรับฟังลงโทษจำเลยหาได้ไม่ เพราะเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และมาตรา 192วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสลักหลังเช็คและการนำสืบข้อเท็จจริงนอกฟ้อง โจทก์ต้องอ้างเหตุให้สอดคล้องกับคำฟ้อง
คำฟ้องบรรยายว่าจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็ค จำเลยที่ 2,3 สลักหลังซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์นำสืบว่า ส.ผู้จัดการคนเก่าลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คโดยจำเลยที่ 2 เชิดออกเป็นตัวแทนดังนี้ เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294-295/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้าง: คำฟ้องต้องระบุฐานะนายจ้างชัดเจน การรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องเป็นไปตามหลักวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์รับส่งบรรทุกของและคนโดยสารในนามของบริษัทจำเลยที่ 3 เพื่อการค้ากำไรร่วมกันนั้น เป็นคำฟ้องที่ไม่มีทางให้เข้าใจว่าจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้เลย แม้ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามที่คู่ความนำสืบจะปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ก็ตาม ก็เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็นจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1992/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงนอกฟ้อง: จำเลยไม่ต้องรับผิดหากกระบือที่ทำร้ายไม่ใช่ของตนเอง แม้จะเลี้ยงดู
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการที่กระบือของจำเลยไปทำร้ายกระบือของโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงเท่าที่นำสืบได้ความว่ากระบือที่ไปทำร้ายกระบือโจทก์เป็นกระบือของคนอื่น จำเลยเอามาเลี้ยงรักษา ดั่งนี้เป็นข้อเท็จจริงนอกฟ้อง ศาลไม่พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย