พบผลลัพธ์ทั้งหมด 41 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5212/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาซื้อขายข้าวและการคืนทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
การเลิกสัญญา คู่สัญญาจะกลับคืนสู่ฐานะเดิมกันอย่างไรนั้นต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป สำหรับข้าวที่โจทก์ได้รับมาจากจำเลย และค่าข้าวที่จำเลยได้รับชำระไปจากโจทก์เป็นทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งสัญญาที่คู่สัญญาได้รับไว้จากอีกฝ่ายหนึ่ง โจทก์และจำเลยจะต้องคืนให้แก่กันตามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง ซึ่งจำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยในเงินค่าข้าวที่จะต้องคืนให้แก่โจทก์ตามมาตรา 391 วรรคสอง ด้วย
เงินค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวนั้นมิใช่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งสัญญาที่โจทก์และจำเลยรับไว้ตามสัญญา และหากได้มีการปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วน โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเอาคืนจากจำเลยได้ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนจากจำเลย ทั้งค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวก็มิใช่การงานที่คู่สัญญาได้ทำให้แก่กันตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคสามค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวจึงตกเป็นพับแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ต้องเสียค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวระหว่างที่ข้าวยังเป็นของโจทก์เช่นนี้ก่อนโจทก์ส่งมอบข้าวให้แก่จำเลย โจทก์จึงต้องเสียค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวด้วย
โจทก์เป็นฝ่ายผู้ซื้อ ตามปกติโจทก์จะชำระค่าข้าวด้วยเงินของโจทก์เอง หากโจทก์ไม่มีเงินและต้องไปกู้เงินบุคคลภายนอกซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยมาชำระก็เป็นเรื่องส่วนตัวของโจทก์โดยเฉพาะ หาเกี่ยวข้องกับจำเลยไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีเงินชำระค่าข้าวทั้งหมดให้จำเลย โจทก์จึงตกลงออกหนังสือรับรองให้จำเลยนำข้าวไปจำนำไว้แก่ธนาคารโดยโจทก์ยินยอมเป็นผู้ชำระดอกเบี้ย ซึ่งถ้าหากมีการปฏิบัติตามสัญญาไปครบถ้วน โจทก์ก็หามีสิทธิเรียกเงินดอกเบี้ยนี้กลับคืนจากจำเลยไม่ และคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินดอกเบี้ยได้ เมื่อจำเลยไม่ต้องคืนเงินดอกเบี้ยดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินดอกเบี้ยเช่นว่านั้นให้แก่โจทก์ด้วย
เงินค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวนั้นมิใช่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุแห่งสัญญาที่โจทก์และจำเลยรับไว้ตามสัญญา และหากได้มีการปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วน โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเอาคืนจากจำเลยได้ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนจากจำเลย ทั้งค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวก็มิใช่การงานที่คู่สัญญาได้ทำให้แก่กันตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคสามค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวจึงตกเป็นพับแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ต้องเสียค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวระหว่างที่ข้าวยังเป็นของโจทก์เช่นนี้ก่อนโจทก์ส่งมอบข้าวให้แก่จำเลย โจทก์จึงต้องเสียค่าเช่าโกดังและค่ารักษาคุณภาพข้าวด้วย
โจทก์เป็นฝ่ายผู้ซื้อ ตามปกติโจทก์จะชำระค่าข้าวด้วยเงินของโจทก์เอง หากโจทก์ไม่มีเงินและต้องไปกู้เงินบุคคลภายนอกซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยมาชำระก็เป็นเรื่องส่วนตัวของโจทก์โดยเฉพาะ หาเกี่ยวข้องกับจำเลยไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีเงินชำระค่าข้าวทั้งหมดให้จำเลย โจทก์จึงตกลงออกหนังสือรับรองให้จำเลยนำข้าวไปจำนำไว้แก่ธนาคารโดยโจทก์ยินยอมเป็นผู้ชำระดอกเบี้ย ซึ่งถ้าหากมีการปฏิบัติตามสัญญาไปครบถ้วน โจทก์ก็หามีสิทธิเรียกเงินดอกเบี้ยนี้กลับคืนจากจำเลยไม่ และคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินดอกเบี้ยได้ เมื่อจำเลยไม่ต้องคืนเงินดอกเบี้ยดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินดอกเบี้ยเช่นว่านั้นให้แก่โจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6491/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกเงินคืนจากสัญญาซื้อขายข้าว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าซื้อข้าวบางส่วนคืนโดยอ้างว่าจำเลยส่งมอบข้าวน้อยกว่าจำนวนที่ตกลงกัน มิใช่ฟ้องในข้อรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวน จึงนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 มาบังคับมิได้ การฟ้องเรียกเงินคืนมิได้มีอายุความกำหนดไว้ ฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2711/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกทรัพย์ (ข้าว) ความผิดทางอาญาและกฎหมายพิเศษ ผู้สนับสนุนความผิด
ผู้รับฝากข้าวมีหน้าที่จะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากแก่ผู้ฝากผู้รับฝากจะนำทรัพย์ออกใช้สอยหรือมอบให้ผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฝากหาได้ไม่กรณีมิใช่เป็นการฝากเงินซึ่งผู้รับฝากไม่จำเป็นต้องส่งคืนเงินอันเดียวกันกับที่รับฝากไว้การฝากข้าวซึ่งเป็นสังหมะทรัพย์นั้นหากผู้รับฝากยักยอกเอาข้าวไปโดยทุจริตไม่สามารถส่งคืนข้าวที่รับฝากไว้ให้แก่ผู้ฝากได้ผู้รับฝากอาจต้องส่งคืนข้าวชนิดและประเภทเดียวกันให้แก่ผู้ฝากซึ่งเป็นการชำระหนี้ในทางแพ่งเท่านั้นหามีผลให้ผู้รับฝากพ้นความรับผิดฐานยักยอกในทางอาญาไม่. เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่1ยักยอกข้าวโดยมีจำเลยที่2เป็นผู้ให้ความช่วงเหลือแม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ลงโทษจำเลยที่1ด้วยเพราะคดีสำหรับจำเลยที่1เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วศาลอุทธรณ์ก็ลงโทษจำเลยที่2ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญากับความผิดฐานยักย้ายข้าวจากสถานที่เก็บโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวพุทธศักราช2489เป็นความผิดที่มีองค์ประกอบต่างกันและเป็นอิสระจากกันการกระทำกรรมเดียวอาจเป็นความผิดทั้งสองฐานได้มิใช่เป็นกรณีที่ถ้าการกระทำเป็นความผิดฐานหนึ่งแล้วมิอาจเป็นความผิดอีกฐานหนึ่งได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในการยักย้ายข้าวซึ่งเป็นความผิดฐานยักยอกนั้นจำเลยที่2มิได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวพุทธศักราช2489จำเลยที่2ก็มีความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ในคดีค้าข้าวผิดกฎหมาย ศาลฎีกาตัดสินว่าริบได้เฉพาะข้าวและสิ่งที่บรรจุเท่านั้น
พระราชบัญญัติการค้าข้าว ฯ มาตรา 21 ทวิ ได้บัญญัติให้ริบเฉพาะข้าวซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิดกับสิ่งของที่บรรจุเท่านั้น รถยนต์เป็นเพียงยานพาหนะที่ใช้ขนย้ายข้าวไม่ใช่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำผิดโดยตรงอันจะพึงริบได้ตามพระราชบัญญัตินี้ และจะนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเช่านาปรัง: การทำนาปรังเป็นการเพาะปลูกข้าวเช่นเดียวกับนาปี จึงต้องเสียค่าเช่าตามปกติ
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 20 บัญญัติให้ผู้เช่านามีสิทธิปลูกพืชอายุสั้นภายหลังการเก็บเกี่ยวข้าวหรือพืชไร่ประจำปีในนาที่เช่าได้ โดยผู้ให้เช่านาจะเรียกเก็บค่าเช่านาเพิ่มมิได้ คำว่าพืชอายุสั้นมิได้หมายความถึงข้าว การทำนาปรังเป็นการเพาะปลูกข้าวเช่นเดียวกับการทำนาปี เมื่อจำเลยทำนาปรังในนาที่เช่า จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีการค้าข้าว: หลักฐานการซื้อจากโรงสีต้องชัดเจนเพื่ออ้างสิทธิไม่ต้องเสียภาษี
โจทก์ประกอบการค้าข้าวโดยซื้อข้าวส่งไปจำหน่ายต่างประเทศในปี พ.ศ. 2504 และ 2510 โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ข) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชี และรายรับจากการค้าประเภทการค้าข้าวหมายความรวมถึงเงินที่ได้รับหรือพึงได้จากการขายข้าวซึ่งไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นข้าวที่ได้มาหรือได้รับช่วงมาจากผู้ประกอบกิจการตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด)
โจทก์อ้างว่าข้าวที่โจทก์ส่งไปจำหน่ายเป็นข้าวที่โจทก์ซื้อจากบรรดาโรงสีต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร มีใบเสร็จรับเงินที่โรงสีข้าวนั้นๆ ออกให้เป็นหลักฐาน เมื่อทางนำสืบรับฟังได้ว่าผู้ที่ขายข้าวให้โจทก์ตามใบเสร็จดังกล่าวมิใช่ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า จึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จนั้นเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ซื้อข้าวจากผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด) โจทก์จึงต้องมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับในการที่ขายข้าวที่ซื้อมาดังกล่าว
โจทก์อ้างว่าข้าวที่โจทก์ส่งไปจำหน่ายเป็นข้าวที่โจทก์ซื้อจากบรรดาโรงสีต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร มีใบเสร็จรับเงินที่โรงสีข้าวนั้นๆ ออกให้เป็นหลักฐาน เมื่อทางนำสืบรับฟังได้ว่าผู้ที่ขายข้าวให้โจทก์ตามใบเสร็จดังกล่าวมิใช่ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า จึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จนั้นเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ซื้อข้าวจากผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1 (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด) โจทก์จึงต้องมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับในการที่ขายข้าวที่ซื้อมาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 899/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีการค้าข้าว: หลักฐานการซื้อจากโรงสี ต้องแสดงได้ว่าเป็นผู้ประกอบการค้าจริง
โจทก์ประกอบการค้าข้าวโดยซื้อข้าวส่งไปจำหน่ายต่างประเทศในปี พ.ศ.2509 และ 2510 โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1(ข) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับของทุกเดือนภาษีตามอัตราในบัญชี และรายรับจากการค้าประเภทการค้าข้าวหมายความรวมถึงเงินที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการขายข้าวซึ่งไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นข้าวที่ได้มาหรือได้รับช่วงมาจากผู้ประกอบกิจการตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด)
โจทก์อ้างว่าข้าวที่โจทก์ส่งไปจำหน่ายเป็นข้าวที่โจทก์ซื้อจากบรรดาโรงสีต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร มีใบเสร็จรับเงินที่โรงสีข้าวนั้นๆ ออกให้เป็นหลักฐานเมื่อทางนำสืบรับฟังได้ว่าผู้ที่ขายข้าวให้โจทก์ตามใบเสร็จดังกล่าวมิใช่ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า 2 ชนิด1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จนั้นเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ซื้อข้าวจากผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด) โจทก์จึงต้องมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับในการที่ขายข้าวที่ซื้อมาดังกล่าว
โจทก์อ้างว่าข้าวที่โจทก์ส่งไปจำหน่ายเป็นข้าวที่โจทก์ซื้อจากบรรดาโรงสีต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร มีใบเสร็จรับเงินที่โรงสีข้าวนั้นๆ ออกให้เป็นหลักฐานเมื่อทางนำสืบรับฟังได้ว่าผู้ที่ขายข้าวให้โจทก์ตามใบเสร็จดังกล่าวมิใช่ผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า 2 ชนิด1(ก) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จนั้นเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ซื้อข้าวจากผู้ประกอบการค้าตามประเภทการค้า 2 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (การสีข้าวทุกชนิด) โจทก์จึงต้องมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากรายรับในการที่ขายข้าวที่ซื้อมาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ - การแจ้งข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงต่อเจ้าพนักงาน และการนำข้าวของผู้อื่นไปขาย
กระทรวงเศรษฐการรับซื้อข้าวจากชาวนาเพื่อพยุงราคาได้ขอความร่วมมือมายังจังหวัด จังหวัดแจ้งมายังอำเภอเพื่อให้ตรวจสอบรับรองว่าผู้ที่จะขายข้าวเป็นชาวนาทำนาและขายข้าวที่ทำได้เอง จำเลยเป็นประธานกลุ่มชาวนา ได้รวบรวมรายชื่อสมาชิกที่จะขายข้าวและจำนวนข้าวที่จะขายกรอกแบบพิมพ์ยื่นต่อเจ้าหน้าที่เกษตรกรรมอำเภอ อันเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานเมื่อจำเลยมิได้ปลอมลายมือชื่อของสมาชิกคนใดและไม่อาจรู้ว่าลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ย่อมไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแบบพิมพ์แล้วเสนอนายอำเภอ นายอำเภอตรวจแล้วเห็นว่าถูกต้อง จึงออกหนังสือรับรองให้ มีสมาชิก 3 คนไม่ยอมเฉลี่ยออกค่าใช้จ่ายในการนำข้าวไปขาย จำเลยเอาข้าวของ 3 คนนั้นไปขายไม่ได้ จึงเอาข้าวของสมาชิกอื่นที่ไม่ได้ลงชื่อไปขายเพื่อให้ครบแต่การนำข้าวไปขายต่อคณะกรรมการสำรองข้าวนี้เป็นเพียงผลแห่งการแจ้งข้อความชั้นอำเภอ มิได้มีการแจ้งข้อความอย่างใดต่อเจ้าพนักงานชั้นคณะกรรมการสำรองข้าวอีก จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จเช่นเดียวกัน
เรื่องเจตนาทุจริตไม่ใช่องค์ประกอบในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 137
เรื่องเจตนาทุจริตไม่ใช่องค์ประกอบในความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 137
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาฝากรักษาข้าว: การนำสืบการได้มาซึ่งข้าวไม่เป็นการนอกฟ้อง และจำเลยมีหน้าที่คืนข้าวตามสัญญา
ฟ้องว่าโจทก์นำข้าวเปลือก 10 เกวียน 50 ถัง ฝากในยุ้งจำเลย โจทก์นำสืบว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ได้ตกลงเอาข้าวเปลือกชำระหนี้ แทนเงินที่ติดค้างโจทก์อยู่ และที่โจทก์ซื้อจากจำเลยด้วยเงินสดด้วย รวม 10 เกวียน 50 ถังแล้วตกลงทำสัญญาฝากไว้ในยุ้งจำเลย ดังนี้มิใช่นำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทำสัญญาหมาย จ.1 จริงซึ่งจำเลยสัญญาว่าจะคืนข้าวที่รักษาไว้แก่โจทก์ จำเลยมีหน้าที่จะต้องส่งมอบข้าวเปลือกนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามสัญญาหรือใช้ราคาให้โจทก์ โดยไม่จำเป็นจะต้องก้าวล่วงไปวินิจฉัยถึงปัญหาการซื้อขายและการรับฝากข้าวเปลือกว่าชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 460 และ 657 หรือไม่ (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทำสัญญาหมาย จ.1 จริงซึ่งจำเลยสัญญาว่าจะคืนข้าวที่รักษาไว้แก่โจทก์ จำเลยมีหน้าที่จะต้องส่งมอบข้าวเปลือกนั้นคืนให้แก่โจทก์ตามสัญญาหรือใช้ราคาให้โจทก์ โดยไม่จำเป็นจะต้องก้าวล่วงไปวินิจฉัยถึงปัญหาการซื้อขายและการรับฝากข้าวเปลือกว่าชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 460 และ 657 หรือไม่ (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องการครอบครองที่ดินและข้าว การกระทำที่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกนาของผู้เสียหายและถอนต้นข้าวที่ผู้เสียหายปลูกไว้ทิ้งเสีย เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังฟังไม่ได้ความชัดว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหายดังที่โจทก์ฟ้อง และตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบกันมาก็เห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังเถียงการครอบครองกันอยู่ เช่นนี้ การที่จำเลยเข้าไปในที่พิพาท จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานบุกรุก
ส่วนข้อหาทำให้เสียทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าข้าวนั้นเป็นข้าวของผู้เสียหายปลูกไว้ซึ่งจำเลยก็รู้ การที่จำเลยถอนทำลายต้นข้าวที่เขาปลูกออกเสีย แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ ย่อมเห็นได้ว่าทำให้ต้นข้าวที่ปลูกไว้นั้นเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ส่วนข้อหาทำให้เสียทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าข้าวนั้นเป็นข้าวของผู้เสียหายปลูกไว้ซึ่งจำเลยก็รู้ การที่จำเลยถอนทำลายต้นข้าวที่เขาปลูกออกเสีย แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ ย่อมเห็นได้ว่าทำให้ต้นข้าวที่ปลูกไว้นั้นเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์