พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6189/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินทำนา ต้องเป็นไปตามเงื่อนไข พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ การบอกเลิกก่อนกำหนดและไม่แจ้งเหตุต่อ คชก.ตำบล ทำให้สัญญาเช่ายังมีผล
ตามบทบัญญัติในมาตรา26และมาตรา37แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524เห็นได้ว่าเมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา26วรรคหนึ่งแล้วถ้าผู้ให้เช่านามิได้บอกเลิกการเช่านาตามมาตรา37และผู้เช่านายังทำนาในที่นานั้นต่อไปให้ถือว่าได้มีการเช่านานั้นต่อไปอีกคราวละหกปีและการบอกเลิกการเช่านาต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรา37โดยผู้ให้เช่านาต้องบอกเลิกเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีก่อนจะครบกำหนดการเช่านาและผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาได้ก็ด้วยเหตุตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา37 การเช่านาระหว่างโจทก์และจำเลยจะครบกำหนดในวันที่20ตุลาคม2532แต่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าเมื่อวันที่20กุมภาพันธ์2532การบอกเลิกการเช่านาดังกล่าวจึงเป็นการบอกเลิกก่อนครบกำหนดการเช่าเพียง8เดือนเท่านั้นและตามหนังสือบอกกล่าวก็มิได้ระบุเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านาไปยังคชก.ตำบลตามที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา37กำหนดไว้การบอกเลิกการเช่านาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายการเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังไม่สิ้นสุดลงโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำวินิจฉัย คชก.ตำบล: ศาลมีอำนาจพิจารณาราคาตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้
คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์จะเป็นที่สุด แต่เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องต่อศาลในการพิจารณาว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว กฎหมายให้นำ ป.วิ.พ.มาใช้บังคับโดยอนุโลม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา221 บัญญัติให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 ซึ่งในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดใดไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีความบกพร่องอันมิใช่สาระสำคัญและอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดนั้นหรือแก้ไขให้ถูกต้องได้
การนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล จะต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อสภาพความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล โดยเฉพาะในข้อที่ว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง หรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะบังคับตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ถ้ามิใช่ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้
การนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล จะต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อสภาพความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล โดยเฉพาะในข้อที่ว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง หรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะบังคับตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาว่าราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ถ้ามิใช่ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้อง แล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำวินิจฉัย คชก.ตำบล: ศาลมีอำนาจตรวจสอบและแก้ไขราคาซื้อขายที่ดินตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ
ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 9(1) เพียงแต่กำหนดว่า ในการพิจารณาเรื่องอันเกี่ยวกับการเช่าในเขตหมู่บ้านใด ให้ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านนั้นเป็นกรรมการด้วยเท่านั้น ฉะนั้นหากการประชุมมีกรรมการประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง การประชุมก็ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ให้โจทก์ซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่ ล.ขายให้ ส.ไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง เพราะโจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่จำเลยซื้อไว้จาก ส.หรือตามราคาตลาดในขณะที่มีการซื้อขายกัน
แม้ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2525จะบัญญัติในมาตรา 56 วรรคสอง ว่า คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด และในมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ว่า ในกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลในการพิจารณาของศาลให้ถือว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการใน ป.วิ.พ.มาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยดังกล่าวในกรณีนี้โดยอนุโลม ซึ่งการพิจารณาพิพากษาดังกล่าวนี้ ป.วิ.พ.มาตรา 221บัญญัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ คือ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการพ.ศ.2530 โดยมีบทบัญญัติในมาตรา 24 วรรคหนึ่งว่า "ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดใดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้น หรือเป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำหรือวิธีการอันมิชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือคำขอของคู่กรณีให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดนั้น" และในมาตรา 24วรรคสอง ว่า "ในกรณีที่คำชี้ขาดใดมีความบกพร่องอันมิใช่สาระสำคัญและอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เช่น การคำนวณตัวเลขหรือการกล่าวอ้างถึงบุคคลหรือทรัพย์สิ่งใดผิดพลาดไป ศาลอาจแก้ไขให้ถูกต้องและมีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดที่ได้แก้ไขแล้วนั้นได้" แต่ก็เห็นได้ว่า การนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล จะต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อสภาพความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของคชก.ตำบล โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาว่า ราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ถ้ามิใช่ ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้ แม้การพิพากษาดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล ซึ่งมิใช่เป็นการแก้ไขตามมาตรา24 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 ก็ตาม
คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลที่ให้โจทก์ซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่ ล.ขายให้ ส.ไม่ต้องด้วย พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง เพราะโจทก์มีสิทธิซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยในราคาที่จำเลยซื้อไว้จาก ส.หรือตามราคาตลาดในขณะที่มีการซื้อขายกัน
แม้ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2525จะบัญญัติในมาตรา 56 วรรคสอง ว่า คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามมาตรา 56 วรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด และในมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ว่า ในกรณีมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลในการพิจารณาของศาลให้ถือว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโต-ตุลาการใน ป.วิ.พ.มาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยดังกล่าวในกรณีนี้โดยอนุโลม ซึ่งการพิจารณาพิพากษาดังกล่าวนี้ ป.วิ.พ.มาตรา 221บัญญัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ คือ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการพ.ศ.2530 โดยมีบทบัญญัติในมาตรา 24 วรรคหนึ่งว่า "ในกรณีที่ศาลเห็นว่าคำชี้ขาดใดไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้น หรือเป็นคำชี้ขาดที่เกิดจากการกระทำหรือวิธีการอันมิชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมิได้อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีผลผูกพันตามกฎหมายหรือคำขอของคู่กรณีให้ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคำชี้ขาดนั้น" และในมาตรา 24วรรคสอง ว่า "ในกรณีที่คำชี้ขาดใดมีความบกพร่องอันมิใช่สาระสำคัญและอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เช่น การคำนวณตัวเลขหรือการกล่าวอ้างถึงบุคคลหรือทรัพย์สิ่งใดผิดพลาดไป ศาลอาจแก้ไขให้ถูกต้องและมีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดที่ได้แก้ไขแล้วนั้นได้" แต่ก็เห็นได้ว่า การนำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาบังคับตามคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล จะต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับเพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อสภาพความชอบด้วยกฎหมายของคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของคชก.ตำบล โดยเฉพาะในข้อที่ว่า ราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้ผู้รับโอนขายนาให้แก่ผู้เช่านาเป็นราคาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคหนึ่งหรือไม่ มิใช่ข้อที่เป็นดุลพินิจเด็ดขาดของ คชก.ตำบลในการพิจารณาว่าจะบังคับตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหรือไม่ ศาลต้องพิจารณาว่า ราคาที่ คชก.ตำบลวินิจฉัยเป็นราคาตามบทบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ถ้ามิใช่ ศาลย่อมพิจารณาจากพยานหลักฐานและกำหนดราคาให้ถูกต้องแล้วพิพากษาให้บังคับให้ขายตามราคาที่กำหนดไปได้ แม้การพิพากษาดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยที่ถึงที่สุดของ คชก.ตำบล ซึ่งมิใช่เป็นการแก้ไขตามมาตรา24 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2112/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนที่ดินเช่าเกษตรกรรมเมื่อผู้ให้เช่าขายที่ดิน โดยมีผลบังคับใช้เมื่อ คชก.ตำบลวินิจฉัยแล้วและไม่อุทธรณ์
คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเมื่อไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดจึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา56วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคหนึ่งถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยไม่ปฎิบัติตามมาตรา53ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนไปยังผู้ใดผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ว่าราคาใดจะสูงกว่ากัน ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์ซื้อที่พิพาทคืนได้และไม่พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าที่ดินตอบแทนดังนั้นเพื่อให้การบังคับตามสิทธิของโจทก์เสร็จสิ้นไปในเวลาอันสมควรคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ได้รับความเสียหายศาลฎีกาจึงกำหนดเวลาที่โจทก์จะต้องใช้สิทธิซื้อไว้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5701/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจ คชก.ตำบล วินิจฉัยสิทธิเช่าที่ดินเกษตรกรรม และผลกระทบต่อการฟ้องขับไล่
โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาและจะเข้าทำประโยชน์ แต่จำเลยขัดขวางอ้างว่าเช่าที่พิพาทเพื่อทำนาจาก ช.คชก.ตำบลได้พิจารณาและมีคำสั่งว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยออกไป แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสอง และคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์ทั้งสองไม่เคลือบคลุม
ตามรายงานการประชุมของ คชก.ตำบล ปรากฏว่ามีรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม 9 คน ครบองค์ประชุม โดยจำเลยเข้าร่วมประชุมด้วย จึงมีกรรมการของ คชก.ตำบลเข้าร่วมประชุมเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งครบองค์ประชุมตามพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่ประชุมมีมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจำเลยไม่เห็นด้วย แต่มิได้อุทธรณ์มติดังกล่าวต่อ คชก.จังหวัดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลจึงเป็นที่สุด ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา56 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะทำนาในที่ดินพิพาทต่อไป โจทก์ทั้งสองชอบที่จะฟ้องจำเลยได้
จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า มติของ คชก.ตำบล ชอบด้วยกฎหมายเพราะมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ เป็นการไม่ชอบในปัญหานี้เป็นประเด็นเดียวกับเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งจำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การและยังคงโต้แย้งตลอดมาจนถึงชั้นฎีกา แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยไว้จึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยยังมีสิทธิทำนาในที่ดินพิพาทและ คชก.ตำบลไม่มีอำนาจวินิจฉัยและลงมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทตามคำร้องของโจทก์ทั้งสอง ดังนี้ ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยการเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนา คชก.ตำบลจึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทอันเกิดแต่การเช่าตามคำร้องของโจทก์ทั้งสองได้ ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา 13 (2) สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
ตามรายงานการประชุมของ คชก.ตำบล ปรากฏว่ามีรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม 9 คน ครบองค์ประชุม โดยจำเลยเข้าร่วมประชุมด้วย จึงมีกรรมการของ คชก.ตำบลเข้าร่วมประชุมเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งครบองค์ประชุมตามพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่ประชุมมีมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจำเลยไม่เห็นด้วย แต่มิได้อุทธรณ์มติดังกล่าวต่อ คชก.จังหวัดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัย คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลจึงเป็นที่สุด ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา56 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะทำนาในที่ดินพิพาทต่อไป โจทก์ทั้งสองชอบที่จะฟ้องจำเลยได้
จำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า มติของ คชก.ตำบล ชอบด้วยกฎหมายเพราะมีอำนาจวินิจฉัยหรือไม่ เป็นการไม่ชอบในปัญหานี้เป็นประเด็นเดียวกับเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งจำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การและยังคงโต้แย้งตลอดมาจนถึงชั้นฎีกา แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยไว้จึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยยังมีสิทธิทำนาในที่ดินพิพาทและ คชก.ตำบลไม่มีอำนาจวินิจฉัยและลงมติว่าจำเลยไม่มีสิทธิเป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทตามคำร้องของโจทก์ทั้งสอง ดังนี้ ข้อพิพาทเกี่ยวด้วยการเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนา คชก.ตำบลจึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อพิพาทอันเกิดแต่การเช่าตามคำร้องของโจทก์ทั้งสองได้ ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา 13 (2) สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4804/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดิน: ต้องรอคำวินิจฉัย คชก.ตำบลก่อน จึงค่อยฟ้องคู่กรณี หรือฟ้องบังคับ คชก.ตำบล
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54วรรคสอง,56วรรคหนึ่ง,57กำหนดขั้นตอนในกรณีที่ผู้รับโอนไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านาว่าผู้เช่านาต้องร้องขอต่อคชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยก่อนเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยแล้วคู่กรณีไม่พอใจก็อุทธรณ์ต่อคชก.จังหวัดและเมื่อคชก.จังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่พอใจจึงมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ายื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลภายในกำหนดแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับคำวินิจฉัยจากคชก.ตำบลตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา13และมาตรา54หากคชก.ตำบลไม่วินิจฉัยในเวลาอันควรก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปฟ้องบังคับให้คชก.ตำบลวินิจฉัยเสียก่อนมิใช่มาฟ้องคู่กรณีโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ยื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลแล้วแต่คชก.ตำบลยังมิได้มีคำวินิจฉัยดังนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาอุทธรณ์คำวินิจฉัย คชก.ตำบล และผลของการอุทธรณ์พ้นกำหนด
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 56 วรรคแรก ไม่ได้บัญญัติถึงวิธีการในการแจ้งให้ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือจะต้องทำเป็นหนังสือทางการหรือไม่ฉะนั้น หากผู้เช่านาทราบคำวินิจฉัย คชก.ตำบล แล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็ต้องเริ่มนับเวลาที่ต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน
โจทก์ที่ 1 ร่วมประชุมอยู่จนกระทั่ง คชก.ตำบล ลงมติวินิจฉัยโจทก์ที่ 1 ย่อมทราบคำวินิจฉัยในขณะนั้นแล้ว และโจทก์ที่ 1 ก็บอกให้โจทก์ที่ 2ทราบคำวินิจฉัย จึงบ่งชี้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล แม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก โจทก์ทั้งสองจะอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวไม่ได้
การที่ คชก.จังหวัด ได้ลงมติและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งยื่นเมื่อพ้นกำหนด เป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจ ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองทำนาต่อไป
โจทก์ที่ 1 ร่วมประชุมอยู่จนกระทั่ง คชก.ตำบล ลงมติวินิจฉัยโจทก์ที่ 1 ย่อมทราบคำวินิจฉัยในขณะนั้นแล้ว และโจทก์ที่ 1 ก็บอกให้โจทก์ที่ 2ทราบคำวินิจฉัย จึงบ่งชี้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ทราบคำวินิจฉัยเช่นเดียวกัน โจทก์ทั้งสองต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.ตำบล แม้ต่อมา คชก.ตำบล จะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทั้งสองทราบในภายหลังอีก โจทก์ทั้งสองจะอ้างเป็นเหตุให้เริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวไม่ได้
การที่ คชก.จังหวัด ได้ลงมติและวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งยื่นเมื่อพ้นกำหนด เป็นคำวินิจฉัยที่ปราศจากอำนาจ ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ที่ให้โจทก์ทั้งสองเลิกการเช่านาเป็นที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองทำนาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6953/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนที่ดินเช่าเมื่อผู้รับโอนทราบฐานะผู้เช่า และผลของการไม่โต้แย้งคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล
การที่โจทก์ร้องขอซื้อนาพิพาทต่อ คชก.ตำบล และคชก.ตำบล วินิจฉัยให้โจทก์ซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสองตามราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยทั้งสองซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากันโดยมิได้กำหนด ราคาให้ เป็นเรื่องโจทก์ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54 วรรคสองแล้วเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่ถึงที่สุดแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ได้ คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไม่ได้ระบุให้ซื้อนาพิพาทคืนได้ในราคาเท่าใด จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะให้โจทก์ซื้อในราคาใดเท่านั้น จำเลยทั้งสองจะนำเรื่องคำเสนอคำสนองมาใช้ในกรณีนี้โดยกำหนดระยะเวลาให้โจทก์สนองตอบว่าจะซื้อนาพิพาทตามราคาที่จำเลยทั้งสองกำหนดไว้มิได้เพราะจะขัดกับคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลซึ่งถือเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้วว่าให้โจทก์ซื้อนาพิพาทได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนขายนาพิพาทแก่โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ตามคำขอท้ายฟ้องเป็นการพิพากษาไม่เกินคำขอ ส่วนการกำหนดราคานาพิพาทเป็นเรื่องโจทก์กะประมาณราคาของนาพิพาทในราคา 1,075,831 บาท เพื่อคำนวณเสียค่าขึ้นศาล การที่จำเลยทั้งสองนำสืบได้ว่าซื้อนาพิพาทมาในราคา 1,175,831 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิได้รับตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่เกินคำขอ