พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 457/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแขวงในคดีซื้อขายสิทธิสัญญาเช่าซื้อ: การพิจารณาจากมูลค่าที่ดินและอาคาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ทรงสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ดินและอาคารจากการเคหะแห่งชาติและจำเลยทำสัญญาจะขายสิทธิดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ได้ชำระเงินค่าซื้อสิทธิแก่จำเลยและผ่อนชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยไม่โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยโอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากไม่สามารถโอนได้ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 157,080 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอดังกล่าวหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร ส่วนการบังคับจำเลยให้โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้วเท่านั้น จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อที่ดินและอาคารมีทุนทรัพย์ตามที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระในกรณีไม่สามารถโอนได้เป็นเงิน157,080 บาท จึงอยู่ในอำนาจศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17ประกอบมาตรา 25(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6814/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีซื้อขายรถยนต์ โดยศาลฎีกาต้องบังคับตามคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่ผิดสัญญา และสัญญายังไม่เลิกกัน จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดรถยนต์คืน ให้จำเลยที่ 1 คืนรถยนต์ดังกล่าวแก่โจทก์ ให้โจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างพร้อม ดอกเบี้ยแก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์ แต่จำเลยทั้งสามทิ้งอุทธรณ์ คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะอุทธรณ์โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์กับพวกรวม 3 คน เป็นจำเลยในมูลคดีเดียวกันนี้ กล่าวถึงการปฏิบัติชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันไม่ได้ กล่าวคือ ขอให้โจทก์คืนรถยนต์แก่จำเลยที่ 1 ผลคดีถึงที่สุดโดย ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้โจทก์กับพวกคืนรถยนต์ หากคืนไม่ได้ ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เมื่อคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นคดีนี้ขัดกับคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข การชำระหนี้ของโจทก์ไม่ได้เป็นไปตามกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทได้โดยชอบ กรณีจึงต้องบังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146 วรรคหนึ่ง โดยถือตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ต่อไป และพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3879/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ คดีซื้อขายสินค้าข้ามประเทศ: การพิจารณาอำนาจศาลเพื่อรับฟ้องคดีสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ
กรณีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีตามคำฟ้องของโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ และได้เสนอให้ประธานศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539มาตรา 9 ซึ่งประธานศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยแล้วว่า คดีตามคำฟ้องของโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ จึงชอบที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำสั่งให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาถึงที่สุด: คดีซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับคดีขับไล่ ศาลต้องยึดตามคำพิพากษาเดิม
ฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นจำเลยมีประเด็นข้อพิพาทเดียวกันว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าในทางปฏิบัติคู่สัญญาไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสำคัญสัญญาจึงยังไม่เลิกกันพิพากษาให้โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ภายใน90วันโดยจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์ในวันโอนกรรมสิทธิ์คำพิพากษาคดีดังกล่าวจึงผูกพันคู่ความในคดีนี้มิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145และเป็นผลให้ศาลในคดีนี้ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีดังกล่าวการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในภายหลังว่าจำเลยผิดสัญญาและพิพากษาให้ขับไล่จำเลยจึงไม่ชอบส่วนที่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวย่อมขอให้ศาลบังคับคดีแก่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้หาทำให้คำพิพากษาดังกล่าวสิ้นผลไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำนองมีลำดับก่อนสิทธิอื่นแม้มีคดีซื้อขายทรัพย์สินที่จำนองค้างอยู่ การงดบังคับคดีไม่เป็นประโยชน์
โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษาของจำเลยได้ยึดที่ดินของจำเลยไว้ขายทอดตลาดแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องแต่คดียังไม่ถึงที่สุดเพราะจำเลยอุทธรณ์อยู่ กรณีเช่นนี้แม้หากต่อมาคดีของผู้ร้องจะถึงที่สุดก็ตาม โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์จำนองนั้นได้ เพราะสิทธิจำนองย่อมตกติดอยู่กับตัวทรัพย์ ดังนั้นการงดการบังคับคดีไว้ตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายใดอีกทั้งผู้ร้องก็สามารถที่จะใช้สิทธิตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองได้อยู่แล้ว แต่ผู้ร้องหาได้ใช้สิทธิดังกล่าวไม่ กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าคดีของผู้ร้องและจำเลยจะถึงที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและอำนาจศาลอุทธรณ์: คดีซื้อขายที่ดินและบ้านกับคดีขับไล่
คดีก่อนโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ฟ้องขับไล่จำเลย (โจทก์คดีนี้) ออกจากบ้านและเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลย (โจทก์คดีนี้) ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มิได้เป็นเจ้าของบ้านตามฟ้อง จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า บ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่ ค่าเสียหายมีจำนวนเท่าใดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ที่ดินและบ้านพิพาททำให้โจทก์เสียหาย จำเลยให้การว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา โจทก์เองเป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญา ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาท จึงเป็นคนละประเด็นกัน และไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกคำสั่งงดชี้สองสถานแล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ อันเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยปฏิเสธไม่สืบพยานตามที่โจทก์ร้องขอ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) กรณีเช่นนี้โจทก์หาจำต้องอุทธรณ์คำพิพากษาอีกไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ไม่ผูกพันโจทก์อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกคำสั่งงดชี้สองสถานแล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ อันเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยปฏิเสธไม่สืบพยานตามที่โจทก์ร้องขอ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) กรณีเช่นนี้โจทก์หาจำต้องอุทธรณ์คำพิพากษาอีกไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้วคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ไม่ผูกพันโจทก์อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145