คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ครอบครองก่อน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายขายฝากโมฆะ-สิทธิครอบครอง-อำนาจฟ้อง: จำเลยครอบครองก่อนโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ฮ. เป็นสัญญาขายฝากที่มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด การทำสัญญาซื้อขายกันเองเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ซื้อขายกันตามสัญญาขายฝากดังกล่าวได้ ส่วนหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่กรมประชาสงเคราะห์ตกลงยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ มีลักษณะเป็นสัญญาเช่าทรัพย์สิน ซึ่งเป็นบุคคลสิทธิ โจทก์ไม่อาจบังคับผู้อื่นนอกจากคู่สัญญาได้ จำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทอยู่ก่อนโดยโจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท ถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิตามสัญญาเช่าของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า อ. ผู้ให้จำเลยเช่าที่ดินพร้อมบ้านพิพาท มิได้รับโอนสิทธิและได้รับอนุญาตจากกรมประชาสงเคราะห์การครอบครองของ อ. จึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมาตั้งแต่ต้น การเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์นั้น มิได้เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ที่วินิจฉัยมาแต่อย่างใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับ ฮ. เป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง จึงต้องทำตามแบบตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะ
ขณะที่ ฮ. โอนสิทธิในบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และกรมประชาสงเคราะห์ทำหนังสืออนุญาตให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้านดังกล่าว โจทก์ไม่อาจเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้เนื่องจากจำเลยครอบครองอยู่ แสดงว่าโจทก์ไม่เคยเข้าไปยึดถือครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเลย โจทก์ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 การที่จำเลยยังคงครอบครองและทำประโยชน์อยู่ในบ้านและที่ดินอยู่นั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ อันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกโฉนดที่ดินในเขตหวงห้าม: ศาลเพิกถอนคำสั่งไม่ออกโฉนด หากราษฎรครอบครองก่อนการหวงห้าม
บ. ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2468 โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อจาก บ. และทายาท บ. แม้ที่ดินพิพาทจะอยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดิน ฯ พ.ศ. 2481 แต่เป็นที่ดินซึ่งราษฎรเข้าครอบครองทำประโยชน์ก่อนการหวงห้ามในปี 2481 จึงไม่ต้องห้ามที่จะออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทั้งสองตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความใน พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 หมวด 3 ข้อ 14 (4) คำสั่งของจำเลยที่ไม่ออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทั้งสอง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องคดีเพื่อมุ่งประสงค์จะขอให้ใช้อำนาจศาลบังคับให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ไม่ออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทั้งสอง การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยเพิกถอนคำสั่งของจำเลยเองที่ไม่ออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทั้งสองเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
การที่ศาลล่างทั้งสองบังคับให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทั้งสอง หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น ไม่อาจทำได้เพราะไม่ใช่กรณีที่ศาลบังคับจำเลยให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินจากการซื้อขายทอดตลาด vs. การครอบครองก่อน & การขาดอายุความ
จำเลยทั้งสามให้การมีสาระสำคัญว่า จำเลยทั้งสามได้ถือสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2530 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ หากฟังว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยการซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความเพราะฟ้องโจทก์เกี่ยวด้วยการถูกแย่งสิทธิครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ถูกแย่งการครอบครองตามคำให้การดังกล่าวแสดงว่า จำเลยทั้งสามอ้างว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้แย่งการครอบครองจากผู้ใดเพราะการแย่งการครอบครองนั้นจะมีขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ส่วนที่ว่าหากฟังได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสามก็ได้แย่งการครอบครองแล้วนั้นเป็นคำให้การที่มีเงื่อนไขโดยต้องฟังเป็นที่ยุติก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งข้อเท็จจริงยังโต้แย้งกันอยู่ ทั้งขัดแย้งกับคำให้การในตอนแรกที่ว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ในปัจจุบัน คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 ตามที่จำเลยให้การต่อสู้
การที่จำเลยทั้งสามฎีกาในทำนองว่าโจทก์ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริต จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 นั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยทั้งสามไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตหรือไม่ หรือเป็นไปโดยไม่ชอบอย่างไร และมิได้ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้ด้วย คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: โจทก์มีสิทธิครอบครองก่อน จำเลยครอบครองโดยอาศัยสิทธิโจทก์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง และไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์จึงมิได้อาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า เป็นแต่เพียงกล่าวอ้างถึงมูลเหตุที่จำเลยทั้งสองเข้าอยู่และทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้ปรากฏเท่านั้น จำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองหักร้างถางพงทำกินจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่ตามทางพิจารณาจำเลยทั้งสองไม่สามารถนำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ว่าที่ดินพิพาทโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง ดังนั้นแม้จำเลยทั้งสองจะแสดงปรากฏออกมาแก่บุคคลภายนอกดังที่อ้างก็ตาม สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสองย่อมไม่เกิดมีขึ้น และเมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จึงไม่มีประเด็นข้อโต้แย้งในเรื่องการแย่งการครอบครองเพราะการแย่งการครอบครองที่จะได้สิทธิครอบครองจะมีได้แต่เฉพาะในที่ดินที่ไม่ใช่ของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ส่วนการที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้แต่แรกคงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ชายตลิ่งริมน้ำเป็นสาธารณสมบัติ โจทก์ไม่มีสิทธิขับไล่ แม้ครอบครองก่อน
ที่ชายตลิ่งเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อไม่อยู่หน้าที่ดินโจทก์ แม้โจทก์จะได้ครอบครองทำกินมาก่อนจำเลย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิขอให้ขับไล่จำเลยเพื่อโจทก์จะเข้ายึดถือเพื่อตน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: ผู้ครอบครองก่อนย่อมมีสิทธิเหนือผู้ได้รับจัดสรรที่ดินภายหลัง หากยังมิได้เข้าครอบครอง
โจทก์ครอบครองที่ดินมือเปล่าโดยมิชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดินต่อมาทางการจัดสรรที่ดินนั้นให้จำเลย แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จัดให้จำเลยเข้าครอบครอง จำเลยจึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองโจทก์ครอบครองอยู่ก่อนจึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงไว้ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเองได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2511)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057-1058/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อที่ดินโดยผู้ขายรู้ว่ามีผู้อื่นครอบครองก่อนแล้ว ทำให้ผู้ซื้อไม่สุจริต และไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่
ผู้ที่ซื้อที่ดินมีโฉนดมาโดยเสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิแล้วมีการรังวัด จึงปรากฎว่าที่ดินส่วนหนึ่งมีคนครอบครองมาเกิน 10 ปีได้กรรมสิทธิ์ทั้งก่อนที่จะซื้อที่ดินแปลงนั้นตนก็รู้ว่าเขาครอบครองที่ดินส่วนนั้นอยู่ ดังนี้ ถือว่า ผู้ซื้อซื้อไว้โดยไม่สุจริต จึงหามีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ที่ครอบครองที่ดินส่วนนั้นจนได้กรรมสิทธิแล้วไม่