คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความขัดแย้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 109 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1431/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเตรียมอาวุธเพื่อวิวาทและการป้องกันเกินเหตุ การใช้อาวุธปืนยิงในความขัดแย้ง
จำเลยกับ ณ. ผู้ตาย ทะเลาะชกต่อยกันก่อน จากนั้นจำเลยได้กลับไปเอาอาวุธปืนที่บ้านจำเลยแล้วขับรถจักรยานยนต์ออกตามหา ณ. ผู้ตาย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยตระเตรียมเพื่อจะวิวาทหรือต่อสู้กับพวกผู้ตาย จึงเป็นการสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทและต่อสู้กับพวกผู้ตาย แม้ ณ. ผู้ตาย จะเข้ามาต่อยจำเลยและล็อคคอจำเลยไว้รวมทั้ง ว. ผู้ตายอีกคนหนึ่งเงื้ออาวุธมีดจะฟันจำเลยตามที่จำเลยนำสืบก็เป็นเหตุการณ์จากการสมัครใจทำร้ายกัน จำเลยไม่มีสิทธิใช้อาวุธปืนยิง ณ. และ ว. ผู้ตายทั้งสอง โดยอ้างว่ากระทำไปเพื่อป้องกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 554/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความขัดแย้งหลังหย่าร้าง ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น
แม้จำเลยจะไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายและผู้ตายมาก่อนก็ตาม แต่ได้ความว่าจำเลยกับผู้เสียหายเคยเป็นสามีภริยากัน ก่อนเกิดเหตุประมาณ 5 เดือน จำเลยและผู้เสียหายได้หย่าร้างกัน ผู้เสียหายได้แต่งงานอยู่กินกับผู้ตาย ภายหลังหย่าร้างจำเลยเคยไปขอคืนดีกับผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ยินยอมพฤติการณ์ที่จำเลยพกพาอาวุธมีดไปนั่งรอที่บริเวณที่เกิดเหตุก่อนเกิดเหตุเป็นเวลานาน จำเลยมีโอกาสคิดทบทวนล่วงหน้าก่อนจะกระทำความผิด แล้วจำเลยบุกรุกตรงเข้าไปใช้มีดฟันและแทงผู้ตายและผู้เสียหายในทันที โดยมิได้พูดคุยเกี่ยวกับการที่ผู้เสียหายนำไม้ของจำเลยไปสร้างบ้านหรือเรื่องที่ผู้เสียหายให้บุตรออกจากโรงเรียนทั้งหมด ตลอดถึงเรื่องที่จำเลยยอมหย่ากับผู้เสียหายแล้วผู้เสียหายยอมให้จำเลยอยู่ด้วยกันตามปกติ แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้วางแผนและตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อนแล้ว จำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2273/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาคดีและอำนาจศาลในการรับคำร้องขอวินิจฉัยความขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดนนทบุรี คำสั่งศาลจังหวัดนนทบุรีที่ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเป็นคำสั่งก่อนศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี แม้เป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 264 ก็เป็นคำสั่งในขั้นตอนการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลยุติธรรม ต้องถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7003/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิวาทซึ่งกันและกัน-อำนาจฟ้อง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย-ความสมัครใจ
การที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 เคยมีข้อพิพาททั้งทางแพ่งและอาญามาก่อน ในวันเกิดเหตุ โจทก์ยังเป็นฝ่ายด่าว่ายกมือไหว้สาปแช่งจำเลยที่ 2 จนเกิดการทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ย่อมฟังได้ว่าเป็นการที่ต่างสมัครใจเข้าวิวาทกัน โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6781/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินของเจ้าของรวม: ฟ้องแบ่งได้แม้มีปัญหาความขัดแย้ง แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ แต่จะเรียกให้แบ่งในเวลาไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้การแบ่งทรัพย์สินในเวลานั้นจะทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของรวมคนอื่น การที่โจทก์และจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินพิพาท โดย หจก. อ. ที่มีโจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนและได้เลิกกิจการไปแล้วเปิดดำเนินกิจการอยู่ในอาคารบนที่ดินทั้งโจทก์และจำเลยมีปัญหากันถึงขนาดจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา โจทก์จึงมิได้เข้าไปในที่ดินและอาคารพิพาทอีก แม้จะปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินและอาคารพิพาท แต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยฝ่ายเดียว มิใช่เพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นด้วย ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าวจะฟังว่าโจทก์ฟ้องขอแบ่งในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้
การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยเอาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทออกขายทอดตลาดเอาเงินที่ขายได้แบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งในทันทีนั้นไม่ถูกต้อง เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ได้บัญญัติกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินของเจ้าของรวมไว้เป็นขั้นตอนแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโดยให้จำเลยแบ่งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยให้โจทก์จำเลยแบ่งทรัพย์สินกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งกันคนละครึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8320/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานอ่อนแอ ขัดแย้งกันเอง และรายงานสืบเสาะมิอาจใช้ลงโทษได้ ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาพยายามฆ่า
รายงานสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติของจำเลยในคดีอื่น มิใช่เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 174 วรรคหนึ่ง ทั้งเป็นเอกสารลับในสำนวนคดีอื่น จำเลยไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้าน ศาลไม่อาจนำมารับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4476/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ้างกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ไม่สอดคล้องกับคำให้การเดิม ทำให้ไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์โจทก์ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขต จำเลยทั้งสองคัดค้านขอให้พิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองคัดค้านการรังวัดสอบเขตจำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยซื้อมาจาก น. แต่จำเลยทั้งสองกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า กรณีจะเป็นประการใดก็ตามหากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1ก็ได้ครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนานกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งตอนแรก ซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เพราะซื้อมา จึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5529/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความขัดแย้งในคำให้การและฟ้องแย้ง การพิจารณาฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและเรียกค่าเสียหาย โดยโจทก์มิได้ขอให้จำเลยส่งคืนโรงเรือนบนที่ดินแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าโจทก์รับซื้อที่ดินพิพาทไว้แล้วผิดสัญญาไม่ยอมให้จำเลยไถ่การขายฝาก ขอให้ยกฟ้อง โดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้งขอให้โจทก์รับไถ่การขายฝาก แต่กลับฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นโดยอ้างว่าจำเลยก่อสร้างโรงเรือนบนที่ดินพิพาทโดยสุจริตเพียงประการเดียว คำให้การที่ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้ใช้ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นจึงขัดกันเองอยู่ในตัว ไม่สามารถที่จะพิพากษาให้เป็นไปตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยได้ แต่ต้องพิพากษาไปในทางใดทางหนึ่ง คือหากฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาก็ต้องพิพากษายกฟ้อง โดยไม่จำต้องวินิจฉัยฟ้องแย้งของจำเลย หรือหากฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงอาจจะยกฟ้องแย้งของจำเลยขึ้นพิจารณาต่อไป ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุต่างกันกับฟ้องเดิม เป็นฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่อาจรวมพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2627/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานขัดแย้งกัน: ศาลเชื่อพยานฝ่ายโจทก์ที่ให้การสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนมากกว่าคำเบิกความในศาล
ร้อยตำรวจเอก ส. ได้สอบปากคำพยานโจทก์ทั้งสามหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยและทำบันทึกคำให้การทั้งหมดในวันรุ่งขึ้น น่าเชื่อว่ารายละเอียดต่าง ๆ ในบันทึกคำให้การเป็นความจริงและพันตำรวจตรี ข. สอบสวนเพิ่มเติมให้พยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวดูตัวจำเลยในเวลาต่อมาหลังเกิดเหตุถึงสามปีเศษ พยานโจทก์ทั้งสามก็ยังยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย นอกจากนั้นโจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอก ป. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งนำกำลังเจ้าพนักงานตำรวจไปที่เกิดเหตุหลังจากได้รับแจ้งเหตุว่าพยานในที่เกิดเหตุยืนยันว่าคนร้ายคือจำเลย ดังนั้น การที่พยานโจทก์ทั้งสามมาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลว่าชายคนร้ายที่ยิงผู้ตายไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดนั้น เป็นการเบิกความบ่ายเบี่ยงไปอย่างขัดเหตุผล คำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ทั้งสามเชื่อได้ว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาของศาล เมื่อรับฟังคำเบิกความของ ม. ภริยาผู้ตาย ประกอบกับคำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ทั้งสามแล้วรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาแสวงประโยชน์จากความขัดแย้งผู้อื่น: โมฆะตามกฎหมาย
สัญญาที่จำเลยทำกับ ส.มีข้อตกลงว่า ให้ ส.ติดต่อว่าจ้างทนายความในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้อง ก.ให้โอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขาย โดย ส.เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินคดีให้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และเมื่อคดีถึงที่สุดจำเลยชนะคดี จำเลยยอมยกที่ดินพิพาทให้แก่ ส.ทันทีโดย ส.จะต้องจ่ายเงินจำนวน 60,000 บาท แก่จำเลยในวันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นการตอบแทน แต่ ส.ไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในมูลคดีที่จำเลยกับ ก.พิพาทกัน ดังนี้ สัญญาที่โจทก์และจำเลยทำขึ้นโดยมีข้อตกลงให้ส.ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม(มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) กรณีไม่เป็นสัญญาที่เข้าลักษณะสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน
เมื่อโจทก์ทำสัญญากับจำเลยโดยมีข้อความและเงื่อนไขเช่นเดียวกับสัญญาที่จำเลยทำกับ ส.ซึ่งถึงแก่ความตายไปก่อน โดยโจทก์ซึ่งไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีตกลงออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยในการดำเนินคดีชั้นฎีกา เพราะหวังได้ที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ จึงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน สัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยตกเป็นโมฆะเช่นกัน โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินจากโจทก์ จำนวน 60,000 บาท ตามสัญญาไม่ได้
of 11