คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความบริสุทธิ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3015/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางวาจา: ข้อความเกี่ยวกับพฤติกรรมเจ้าชู้ไม่ถึงขั้นทำให้เสียหาย
จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. โจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 ได้ลาออกจากห้าง ฯ ไป ต่อมาในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้มาที่ห้าง จำเลยที่ 1 ได้พูดกับพนักงานของห้างถึงสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ลาออกว่า "โจทก์จะซื้อแหวนให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จะผ่อนคืนราคาแหวนหรือไม่ก็ได้ โจทก์เคยให้กระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในกระเป๋า โจทก์ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้วให้เงิน 6,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 โจทก์เคยจับมือจำเลยที่ 1 โจทก์เคยขับรถยนต์พาจำเลยที่ 1 ไปส่งที่บ้านของจำเลยที่ 1 หลายครั้ง การกระทำของโจทก์เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานของห้าง เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม และเพื่อมิให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่จำเลยที่ 1 " และจำเลยที่ 2 ได้พูดว่า "โจทก์มีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ปฏิบัติตนต่อจำเลยที่ 1ในลักษณะหมาหยอกไก่ ถ้าจำเลยที่ 1 เล่นด้วย เรื่องก็เงียบไป แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอม จำเลยที่ 2 ไม่ไว้วางใจในความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 จึงแนะนำให้จำเลยที่ 1 ออกจากงาน และห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ทำงานล่วงเวลาเพราะไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจว่าเรื่องได้เลยเถิดไปไกลแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ยังบริสุทธิ์อยู่ จะท้าพิสูจน์ที่ไหนอย่างไรก็ได้ และความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 คงไม่เลยเถิดไปถึงขั้นสามีภริยา และโจทก์เป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม ถ้าเรื่องทราบถึงคนอื่นจะทำให้เกิดความเสียหาย ดังนั้น น่าจะมาเจรจากันเพื่อไม่ให้เรื่องยืดเยื้อ " ข้อความที่จำเลยที่ 1 พูดนั้น เป็นการพูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง ซึ่งแปลความหมายได้ว่า โจทก์เป็นคนเจ้าชู้ จำเลยที่ 1 จึงลาออกจากงานเพราะกลัวตนเองจะเสียหาย โดยไม่ปรากฏข้อความใดที่กล่าวหาว่า โจทก์ได้กระทำการอันเป็นการลวนลามจำเลยที่ 1 โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอม ข้อความที่แปลความหมายได้เพียงว่า โจทก์เป็นคนเจ้าชู้นี้ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำว่า "เจ้าชู้" หมายความถึงผู้ใฝ่ในการชู้สาว เมื่อปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ชาย ตามความรู้สึกของสังคมหรือคนทั่วไปที่ได้ยินข้อความที่จำเลยที่ 1 พูด ก็ไม่อาจมีความรู้สึกได้ว่าเป็นการใส่ความโจทก์ที่จะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง แต่เป็นเรื่องของผู้ชายซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะใฝ่ในทางชู้สาวได้ คำพูดของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ส่วนคำพูดของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นการพูดภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 พูดแล้วนั้น ก็เป็นการยืนยันถึงความเป็นคนเจ้าชู้ของโจทก์ ซึ่งมิได้ก่อให้เกิดอันตรายแก่จำเลยที่ 1 และไม่เคยกระทำการอันเป็นการก้าวล่วงลวนลามจำเลยที่ 1 ให้เกิดความเสียหาย แต่การกระทำของโจทก์เป็นการหยอกล้อจำเลยที่ 1 เหมือนหมาหยอกไก่ที่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 ลาออกจากงานและไม่ให้ทำงานล่วงเวลาก็ไม่ใช่เพราะกลัวโจทก์แต่อย่างใดไม่ แต่กลัวคนอื่น จะเข้าใจผิด อันเป็นการยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของโจทก์ว่า โจทก์ไม่เคยทำอะไรให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายมาก่อน คำพูดของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2335/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาขอรับรถคืนก่อนศาลสั่งริบ เป็นหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ของผู้ร้องว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิด
การที่ผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาและขอรับรถยนต์บรรทุกและรถกึ่งพ่วงของกลางคืนจากผู้เช่าซื้อก่อนที่ศาลสั่งริบรถยนต์บรรทุกและรถกึ่งพ่วงของกลางในคดีนี้แล้วนั้น แสดงว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339-2340/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปิดเผยข้อมูลเพื่อความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา ไม่ถือเป็นการใส่ความผู้อื่น
จำเลยนำแถบบันทึกเสียงที่ผู้ชายพูดกับผู้หญิงในลักษณะของการให้สัมภาษณ์เป็นใจความว่า ผู้เสียหายได้ ลักลอบได้เสียกับพระภิกษุ ช. เจ้าอาวาส วัดจอมบึง ซึ่ง เป็นเจ้าคณะอำเภอมาเปิดให้บุคคลอื่นฟังที่บ้าน อ. และ ส. ซึ่ง มิใช่ที่สาธารณสถานเป็นทำนองปรึกษาหารือกันว่าควรจะดำเนินการอย่างใดเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ต่อ พระพุทธศาสนา และหาทางขจัดความมัวหมองในพระพุทธศาสนาให้สิ้นไป หากพระภิกษุ ช. กระทำผิดจริงก็ควรจะสึกออกไป หากไม่จริงก็เอาผิดกับผู้พูดเรื่องนี้ และต่อมาได้ มีการร้องเรียนต่อ ศึกษาธิการอำเภอ จอมบึง เกี่ยวกับพฤติการณ์ของพระภิกษุ ช. และได้ มีบันทึกเสนอต่อ ตามลำดับจนกระทั่งถึง เจ้าคณะภาคฝ่ายมหานิกายจังหวัด ราชบุรี เพื่อสอบหาข้อเท็จจริง จึงถือได้ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาใส่ความผู้เสียหายให้ถูกดูหมิ่น เกลียดชังหรือเสียหายแต่ เป็นการกระทำในการแสดงข้อความโดยสุจริตด้วย ความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3)ทั้งนี้เพื่อขจัดข่าวลือในทางที่จะทำให้พุทธศาสนาเสื่อมหมดสิ้นไปจำเลยไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางและการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ร้องในคดีอาญา ผู้ร้องต้องนำสืบหลักฐานยืนยันว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจ
โจทก์บรรยายในคำฟ้องว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิดเป็นของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่ารถยนต์บรรทุกที่ผู้ร้องขอคืนเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลที่ให้ริบรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้คืนรถยนต์ของกลางด้วยเหตุว่ารถยนต์ของกลางดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดไม่ได้
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 336/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบของกลางและการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ร้องในคดีอาญา ผู้ร้องต้องนำสืบพยานหลักฐานแสดงความไม่รู้เห็นเป็นใจ
โจทก์บรรยายในคำฟ้องว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะในการกระทำความผิดเป็นของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่ารถยนต์บรรทุกที่ผู้ร้องขอคืนเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลที่ให้ริบรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้คืนรถยนต์ของกลางด้วยเหตุว่ารถยนต์ของกลางดังกล่าวมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดไม่ได้
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 36นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา เมื่อผู้ร้องอ้างว่าของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2418/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: โจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรม โดยอ้างว่าโจทก์ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และการสอบสวนฟังว่าโจทก์มีมลทินมัวหมองส่อทุจริตซึ่งความจริงโจทก์มิได้กระทำผิดดังที่ถูกกล่าวหา จำเลยให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายข้อบังคับฯ เพราะโจทก์มีมลทินมัวหมองในเรื่องทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้ ประเด็นที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่เสียก่อน ซึ่งข้อนี้โจทก์มีภาระหน้าที่นำสืบตามที่กล่าวอ้าง ลำพังแต่ คำฟ้อง คำให้การ คำแถลงรับของคู่ความและพยานเอกสารที่คู่ความอ้างส่งต่อศาล ข้อเท็จจริงยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่แต่ได้ความว่าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าโจทก์กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง แต่ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดถึงชั้นทุจริตต่อหน้าที่อันจะไล่ออกจากงานได้ จึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานฐานมีมลทินมัวหมองในเรื่องทุจริต่อหน้าที่ตามข้อบังคับฯ ฉะนั้น ที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเอกสารคำให้การของ ธ.ที่ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนแต่ผู้เดียวมาวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้กระทำผิดและไม่มีมลทินมัวหมอง ทั้งๆ ที่ไม่มีการสืบพยานหักล้างข้อเท็จจริงผลการสอบสวนให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงไม่ชอบด้วยการพิจารณาว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน แม้ข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ และโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างมีหน้าที่นำสืบแถลงไม่สืบพยาน เช่นนี้ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1336/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งงานโดยไม่จดทะเบียนสมรส ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการเสียความบริสุทธิ์
หญิงสมัครใจแต่งงานอยู่กินกับชายได้ปีเศษ โดยต่างไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรส ดังนี้ จะอ้างว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นมิได้ หญิงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเพื่อการเสียความบริสุทธิ์ของตนจากชาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความจริงในคดีหมิ่นประมาท: ประโยชน์ต่อประชาชนและความบริสุทธิ์ของพุทธศาสนา
โจทก์เป็นเจ้าคณะอำเภอ ฟ้องหาว่าจำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความว่าโจทก์เข้าหานางชีที่ห้องวิปัสสนา เป็นเหตุให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง นั้น จำเลยขอพิสูจน์ความจริงได้ เพราะการพิสูจน์ความจริงของจำเลยย่อมเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เนื่องจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ผู้เป็นศาสนิกชนย่อมหวงแหนที่จะมิให้ผู้ใดมาทำลายหรือทำความมัวหมองให้แก่พุทธศาสนาที่ตนนับถือ ยิ่งเมื่อจำเลยมาพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ต่อศาลได้ ก็เป็นประโยชน์แก่คนทั่วไปที่จะได้ไม่มัวหลงเคารพเลื่อมใสโจทก์ต่อไป(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แม้ไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์
ในคดีอาญา เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะนำสืบให้ตนพ้นจากความผิดได้ แม้ว่าจำเลยจะมิได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ก่อน เกี่ยวกับข้อที่จำเลยนำสืบนั้นเลยก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396-397/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองฝิ่นโดยไม่รู้เห็น เจ้าพนักงานต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหา
คดีเรื่องมีฝิ่นผิด พระราชบัญญัติฝิ่น เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยฝิ่นของกลางในครอบครองของจำเลยสมฟ้องแล้วจำเลยเถียงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องรู้เห็นว่ามีฝิ่นอยู่ในของกลาง จำเลยต้องพิสูจน์ให้เห็นความบริสุทธิ์
of 2