พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6083/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและโดยทรมาน ศาลไม่อนุญาตลดโทษแม้เหตุมาจากความรัก
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) วางโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 52 (1) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (5) อีกบทหนึ่งด้วย ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด วางโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 (1) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จากความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) มาเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) และ 289 (5) และยังคงจำคุกตลอดชีวิต เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง ซึ่งข้อห้ามฎีกาดังกล่าวนี้ย่อมใช้บังคับแก่โจทก์ร่วมด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (14) ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยควรได้รับโทษประหารชีวิต ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลดโทษให้จำเลยเพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
การที่จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยถ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
การที่จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยถ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5089/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการกระทำที่ต่อเนื่อง แม้แสดงความรักภายหลัง ไม่เป็นเหตุยับยั้งความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยโกรธแค้นผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาที่ไม่ยอมคืนดีด้วย และจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายคบชู้ จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงหลายครั้งแต่ไม่ถูกเพราะผู้เสียหายเอี้ยวตัวหลบได้ทัน และ จำเลยได้ใช้มีดปาดคอผู้เสียหายจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บโดยมีบาดแผลที่คอ ขนาดกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตรมีบาดแผลฉีกขาดถึงกะโหลกศรีษะทำให้กะโหลกศรีษะ แตก การที่จำเลยเลือกแทงร่างกาย ปาดบริเวณลำคอ และฟันศรีษะ ผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญ และเมื่อผู้เสียหายล้มลง จำเลยยังได้ใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหาย อีกหนึ่งครั้ง จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและได้ลงมือกระทำความผิดไป ตลอดครบองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามฆ่าแล้ว แต่ผู้เสียหาย ไม่ตายสมดังเจตนา จึงเป็นกรณีที่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 แล้ว ส่วนการที่จำเลยทิ้งมีดโต้แล้วไปสวมกอดผู้เสียหายเพราะความรัก ผู้เสียหายและรักลูกมิใช่เป็นกรณี ยับยั้งเสียเองไม่กระทำการ ให้ตลอดไป อันจำเลยไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3814/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท: การออกเช็คเพื่อยืนยันความรักและเจตนาสมรส ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม ผู้รับมีอำนาจฟ้อง
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์เพื่อยืนยันว่า จำเลยรักใคร่โจทก์ จำเลยจะสมรสกับโจทก์เป็นการให้เงินตามเช็คแก่โจทก์โดยมีมูลหนี้บังคับกันได้ การออกเช็คพิพาทของจำเลยในลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2593/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า: พิจารณาพฤติการณ์แย่งบุตร, ความรักความห่วงใย และการดูแลการศึกษา
การที่โจทก์จำเลยตกลงหย่าขาดจากกัน แต่ตกลงเกี่ยวกับการปกครองบุตรชายผู้เยาว์ซึ่งอายุ 3 ปีไม่ได้ บุตรจึงอยู่ในความดูแล ของจำเลยต่อมาจำเลยสมรสใหม่ โจทก์จึงมาฟ้องขอให้ศาลถอนอำนาจปกครองบุตรจากจำเลยโดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว จำเลยฟ้องแย้งขอให้ถอนอำนาจปกครองบุตรจากโจทก์ ให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวนั้น เมื่อเหตุที่โจทก์ออกจากบ้านจำเลยไปก็โดยมีสาเหตุเกิดทะเลาะวิวาทกับจำเลย และก็ได้นำบุตรผู้เยาว์ไปด้วย หากแต่จำเลยเป็นฝ่ายไปเอาตัวผู้เยาว์กลับคืนมาเองโดยมีพฤติการณ์ในทำนองแย่งตัวผู้เยาว์กันอยู่ไปมาเช่นนี้ จะถือว่าโจทก์ทอดทิ้งผู้เยาว์ไปหาได้ไม่ ทั้งพฤติการณ์ที่โจทก์ติดต่อหาโรงเรียนมีชื่อ ให้ผู้เยาว์เข้าศึกษาเล่าเรียนได้ก็แสดงให้เห็นถึงความรักและห่วงใยในตัวผู้เยาว์ของโจทก์เป็นอย่างดี จึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้ายแต่อย่างใด กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 1582 ที่จะถอนอำนาจปกครองผู้เยาว์ของโจทก์ได้ จึงให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์และจำเลย โดยต่างปกครองช่วงระยะเวลาต่างวาระกัน โดยทุกช่วงภาคการศึกษาประจำปีภาคแรก ให้อยู่ในความปกครองของโจทก์ ช่วงภาคการศึกษา ประจำภาคหลัง ให้อยู่ในความปกครองของจำเลยสลับกันไปเช่นนี้จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 328/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงผู้เยาว์เพื่ออนาจารและเอาทรัพย์สิน โดยอ้างความรักเป็นเครื่องมือ
จำเลยเขียนจดหมายนัดพาผู้เสียหายอายุ 14 ปี ไปอยู่ด้วยกัน บอกให้เอาเงินและของมีค่าไปด้วย จำเลยได้พาผู้เสียหายไปเบิกเงินจากธนาคารทั้งหมดเอามาเก็บไว้เสียเองและแบ่งให้มารดาจำเลยครึ่งหนึ่ง จำเลยพาผู้เสียหายย้ายที่อยู่หลายแห่ง เมื่อมารดาผู้เสียหายตามไปพบที่ต่างจังหวัด จำเลยหลบหนีการจับกุมไปได้ ไม่กล้าสู้ความจริงว่าพาไปเป็นภรรยา ไม่มาตกลงกัน พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยยกความรักใคร่ฉันชู้สาวมาอ้างกลบเกลื่อนความคิดกระทำอนาจาร และหลอกเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้เสียหาย จำเลยมีภรรยาแล้ว และขณะพาผู้เสียหายหลบหนี จำเลยก็ยังอยู่กินกับภรรยาดังนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความขัดแย้งเรื่องความรักและการกีดกัน
ผู้ตายไม่พอใจที่จำเลยมารักใคร่ในทางชู้สาวกับบุตรสาว จึงกีดกันจำเลยมิให้ติดต่อ หากฝ่าฝืนจะให้ตำรวจจับกุม ก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน จำเลยได้ยิงปืนใกล้บ้านผู้ตาย ผู้ตายได้พูดจาว่ากล่าว จำเลยโกรธได้ชักปืนออกแต่มิได้ยิง และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยมีว่า สาเหตุดังกล่าวทำให้จำเลยนึกเจ็บใจที่ถูกว่ากล่าว ทั้งกลัวผู้ตายจะทำร้ายเพราะโกรธเรื่องที่รักใคร่บุตรสาวผู้ตาย จึงตั้งใจจะไปยิงผู้ตาย แล้วจำเลยลอบเข้าไปในบ้านผู้ตายในเวลากลางคืนแล้วยิงผู้ตาย ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความขัดแย้งเรื่องความรักและการกีดกัน
ผู้ตายไม่พอใจที่จำเลยมารักใคร่ในทางชู้สาวกับบุตรสาวจึงกีดกันจำเลยมิให้ติดต่อ หากฝ่าฝืนจะให้ตำรวจจับกุม ก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน จำเลยได้ยิงปืนใกล้บ้านผู้ตายผู้ตายได้พูดจาว่ากล่าวจำเลยโกรธได้ชักปืนออกแต่มิได้ยิง และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยมีว่าสาเหตุดังกล่าวทำให้จำเลยนึกเจ็บใจที่ถูกว่ากล่าว ทั้งกลัวผู้ตายจะทำร้ายเพราะโกรธเรื่องที่รักใคร่บุตรสาวผู้ตายจึงตั้งใจจะไปยิงผู้ตายแล้วจำเลยลอบเข้าไปในบ้านผู้ตายในเวลากลางคืนแล้วยิงผู้ตายดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2485 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาไปเพื่ออยู่กินเป็นสามีภริยาโดยสุจริต ไม่ถือเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์
ชายพาหญิงไปโดยรักใคร่กัน เพื่อไปอยู่กินเป็นสามี ภริยากันโดยสุจริต ไม่ผิดตาม ม.275