พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแต่งตั้งผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน: ความรับผิดทางสัญญาและค่าปรับจากการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาแต่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตกลงว่าจำเลยทั้งสองต้องผูกพันการขายน้ำมันเชื้อเพลิงต่อโจทก์ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 70,000 ลิตร ถ้าขายต่ำกว่านั้นต้องเสียค่าปรับแก่โจทก์เป็นเงิน 25 สตางค์ต่อลิตร หลังทำสัญญาจำเลยทั้งสองประพฤติผิดสัญญาคือสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ถึงยอดรับรองที่ตกลงกันไว้ และปลายปี 2541 จำเลยทั้งสองไม่ได้สั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์โดยไม่มีเหตุอันสมควรแต่ยังเปิดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์เรื่อยมาโดยสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้ารายอื่นมาจำหน่ายแทน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคือทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดว่าจำเลยทั้งสองยังประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ ในชั้นพิจารณาโจทก์ก็มี ธ. ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดมาเบิกความยืนยันว่า การสำรองน้ำมันของโจทก์จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละราย โดยโจทก์ต้องสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งจากในและต่างประเทศมาสำรองไว้ ดังนั้น หากจำเลยทั้งสองสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ถึงยอดที่ตกลงไว้โจทก์จะได้รับความเสียหาย ฝ่ายจำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ต่ำกว่าที่ตกลงกันไว้ไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นอกจากนั้น การที่จำเลยที่ 1 ยินยอมทำสัญญาว่าถ้าสั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ต่ำกว่า 70,000 ลิตรต่อเดือน ยอมเสียค่าปรับ 25 สตางค์ต่อลิตร แสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้อยู่ว่าถ้าจำเลยที่ 1 สั่งซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่าที่ตกลงกันไว้จะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับซึ่งเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าฐานผิดสัญญาส่วนนี้จากจำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาชดใช้ค่าเสียหายจากความรับผิดในสัญญาและการคิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทของโจทก์ไปจริงโดยเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทจากโจทก์เพื่อนำไปแสดงยังสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ 1ในประเทศญี่ปุ่น และจำเลยที่ 1 ได้รับผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์แล้ว ซึ่งตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยทั้งสองยืมผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทไปจากโจทก์จริงหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน225,000 บาท นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าที่สูญหายไปคือ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2535ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 32,250 บาท รวมกับต้นเงินเป็นยอดเงินที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสองถึงวันฟ้องจำนวน257,250 บาท และโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาท อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์อีกด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนผ้าปูโต๊ะวัตถุโบราณพิพาทให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงิน 50,000 ฟรังก์ฝรั่งเศส หรือเงินไทย257,250 บาท แก่โจทก์ แสดงว่าโจทก์อุทธรณ์รวมเอาเงินดอกเบี้ยจำนวน 32,250 บาท อันเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่10 มกราคม 2535 ถึงวันฟ้องเข้ากับต้นเงินจำนวน 225,000 บาทมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้ว ดังนั้น แม้ฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จะมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในต้นเงิน 225,000 บาทอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาด้วย แต่โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(3) ประกอบด้วยมาตรา 246 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควรศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้แพ้คดีชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 225,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเสร็จตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2630/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องส่งมอบในสภาพที่ใช้การได้ตามปกติ
ศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาท(ทาวน์เฮ้าส์)จำนวน2ห้องในสภาพที่ดีพร้อมที่ดินให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดหากผิดนัดยอมชดใช้ค่าเสียหายจำเลยได้โอนบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ตามกำหนดแต่บ้านหลังหนึ่งยังไม่มีฝ้าเพดานห้องน้ำและทั้งสองหลังไม่อาจใช้ไฟฟ้าได้เพราะยังไม่ได้ติดตั้งมิเตอร์เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนส่งมอบจำเลยมีเวลาเกือบ5เดือนในการปฏิบัติตามสัญญาแต่หาได้ตรวจสอบดูแลสภาพของบ้านพิพาทก่อนว่ามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องหรือไม่สมบูรณ์เพื่อจะปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่ดีก่อนโอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบไม่แสดงว่าไม่นำพาจะปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วนและมิใช่ข้อบกพร่องเล็กน้อยหรืออยู่นอกเหนือสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2478
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายและเช่าที่ดิน: หลักฐานเป็นหนังสือและความรับผิดทางสัญญา
จำเลยให้คำมั่นจะขายแลจะให้เช่าที่ดิน แต่มิได้มีหนังสือเป็นหลักฐานต่อกันไว้ โจทก์ยอมรับซื้อแลเช่าภายหลังจำเลยไม่ยอมโจทก์จะฟ้องขอให้บังคับการซื้อขายและการเช่าไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์จำเลยตกลงกันว่า ถ้าโจทก์ขายที่ดินให้จำเลย ๆจะยอมให้โจทก์ซื้อที่คืนได้ภายหลัง โดยจำเลยมิได้ตั้งใจหลอกลวงโจทก์ในขณะนั้นโจทก์จึงขายที่ให้จำเลยแล้วจำเลยกลับไม่ยอมให้โจทก์ซื้อคืนดังนี้ เป็นเรื่องผิดสัญญาหาเป็นกลฉ้อฉลอันจะให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่
ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.148 ศาลพิพากษาให้โจทก์โอนขายที่ดินให้จำเลยแล้วภายหลังโจทก์มาฟ้องอ้างว่ามีข้อตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินคืนได้ จึงขอให้จำเลยโอนที่ดินคืนดังนี้ ฟ้องได้ไม่ต้องห้าม
ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.148 ศาลพิพากษาให้โจทก์โอนขายที่ดินให้จำเลยแล้วภายหลังโจทก์มาฟ้องอ้างว่ามีข้อตกลงให้โจทก์ซื้อที่ดินคืนได้ จึงขอให้จำเลยโอนที่ดินคืนดังนี้ ฟ้องได้ไม่ต้องห้าม