คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษาที่สุด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7703/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการขายทอดตลาด: บทบัญญัติมาตรา 309 ทวิ วรรคสี่ แห่ง ป.วิ.พ. แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542 เป็นที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ไป ไม่เหมาะสมกับสภาพทรัพย์ เท่ากับอ้างว่าราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มีจำนวนต่ำเกินสมควรตามบทบัญญัติมาตรา 309 ทวิ วรรคสอง แห่ง ป.วิ.พ. แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ. (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542 ซึ่งมี ผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2542 จำเลยยื่นฎีกาวันที่ 13 พฤษภาคม 2542 ภายหลังจากบทบัญญัติมาตรา 309 ทวิ มีผลบังคับใช้แล้ว คำร้องของจำเลยจึงอยู่ภายใต้บังคับของวรรคสี่แห่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวซึ่งบัญญัติให้คำพิพากษา หรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11440/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีเสพยาเสพติดขณะขับรถ: คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดียาเสพติด การฎีกาต้องได้รับอนุญาต
คดีเสพยาเสพติดให้โทษในขณะเป็นผู้ขับรถตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157/1 เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามบทบัญญัติดังกล่าว ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มีผลใช้บังคับแล้วและเมื่อคดีนี้ถือว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดคดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลฎีกาก่อนตามบทบัญญัติมาตรา 18 วรรคหนึ่ง และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นให้โจทก์ผู้ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้รับฎีกาไว้วินิจฉัยตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4325/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาเกี่ยวกับคดีความผิดยาเสพติด การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จำเลยที่ 3 ร้องขอให้เพิกถอนการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่คำร้องขอเพิกถอนดังกล่าวของจำเลยที่ 3 เป็นผลสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ดังนี้ คดีนี้จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ด้วย ซึ่งมาตรา 18 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า "ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาหรือมีคำสั่งโดยมิชักช้า และภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 16 และมาตรา 19 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด" และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่งแล้ว คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้" ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ฎีกาโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย