คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษาเดิม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 35 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาเดิม โจทก์ฟ้องเพิกถอนสัญญาประนีประนอมซ้ำไม่ได้
จำเลยที่ 3 เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และโจทก์ต่อศาลแพ่งว่า จำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ขอให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์ให้การว่าจำเลยที่ 3มิได้เป็นเจ้าของรวม จำเลยที่ 3 เชิดหรือยอมให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 3 จึงปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว ต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรวม จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปทำสัญญาจะซื้อจะขายโดยจำเลยที่ 3 มิได้ให้ความยินยอมและมิได้เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน จึงไม่มีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ส่วนของจำเลยที่ 3 พิพากษาให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 คำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนบันทึกข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในอีกคดีหนึ่ง โดยอ้างว่า จำเลยที่ 1เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว จำเลยอื่นได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 แสดงเจตนาลวงและฉ้อฉลโจทก์โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าว อันเป็นการอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่โจทก์ต้องผูกพันหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3897/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันตามคำพิพากษาเดิม: การกู้ยืมเงินและการส่งมอบที่ดินเพื่อเป็นประกัน
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาในคดีก่อนว่า มารดาโจทก์กู้ยืมเงินมารดาจำเลย โดยมารดาโจทก์มอบที่ดินพิพาทให้มารดาจำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย ข้อเท็จจริงเช่นนี้ย่อมผูกพันคู่ความจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนด้วยจึงหาอาจจะโต้เถียงเป็นประการอื่นได้ไม่ จำเลยต้องคืนที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยรับเงินกู้ยืมคืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6256/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจปกครองบุตรเปลี่ยนแปลงได้ตามเจตนาบุตรและสถานการณ์ปัจจุบัน แม้มีคำพิพากษาเดิม
โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยากันระหว่างอยู่กินด้วยกันมีบุตร 1 คน คือ ส. อายุ 15 ปี 2 เดือนต่อมาโจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันและตกลงให้ส.อยู่ในความปกครองของโจทก์ แม้หลังจากโจทก์จำเลยหย่ากันแล้ว ส. อยู่กับจำเลยและจำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูส.อันเป็นเหตุให้ศาลล่างทั้งสองเพิกถอนอำนาจปกครองของโจทก์เสีย แต่เมื่อ ส.ได้ยื่นคำร้องแนบท้ายฎีกา โจทก์ว่า ขณะที่โจทก์จำเลยพิพาทกัน ส.ไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร ไม่ได้อยู่กับโจทก์จำเลย ต่อมา ส. ได้กลับมาทำงานที่จังหวัดหนองคายรับทราบว่าโจทก์จำเลย ฟ้องร้องกัน และ ส. ประสงค์จะอยู่ในความปกครองของโจทก์เนื่องจากจำเลยมีสามีใหม่ ศาลชั้นต้นได้สอบ ส. แล้วยืนยันว่าเป็นบุตรของโจทก์จำเลยและประสงค์ จะอยู่ในความปกครองของโจทก์ ซึ่งปัจจุบันได้อาศัยอยู่ด้วยและไม่ประสงค์จะอยู่กับจำเลย แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะปรากฏขึ้นในภายหลังโดยที่โจทก์มิได้นำสืบในชั้นพิจารณาแต่กรณีนี้ถือได้ว่าเหตุที่จะให้ถอนอำนาจปกครองของโจทก์ได้สิ้นไปแล้วศาลฎีกาย่อมที่จะสั่งให้โจทก์มีอำนาจปกครองดังเดิมได้ เมื่อข้อเท็จจริงที่ ส. อยู่กับจำเลยและจำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู ส. ได้หมดสิ้นไปแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุจะถอนอำนาจปกครองของโจทก์อีก สมควรให้โจทก์ เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองของ ส. ต่อไปตลอดจนโจทก์ไม่จำต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรให้แก่จำเลยตามที่ศาลล่างทั้งสองได้พิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5008/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำและการค้ำประกันหนี้: ผลกระทบจากคำพิพากษาเดิมและหน้าที่ของผู้แทน
จำเลยทั้งสามค้ำประกันหนี้ของ ม. และโจทก์เคยฟ้อง ม. และจำเลยทั้งสามกับพวกในเรื่องตัวแทนละเมิดมาแล้ว คดีดังกล่าวศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามในฐานะกรรมการโจทก์สมคบร่วมกันจ่ายเงินโจทก์ซื้อหุ้น เกินไปกว่าราคาที่โจทก์ซื้อรวม 10,814,416.53 บาทจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้คืนโจทก์ ดังนั้น การที่โจทก์นำเอาหนี้จำนวนเดียวกันซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 144 วรรคหนึ่งอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยทั้งสามจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246 และ 247 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของ ม. อีก ส่วนที่จำเลยทั้งสามค้ำประกันหนี้ของธ. และ ม.นั้น เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ธ.และ ม.เป็นหนี้โจทก์จริง ดังนั้น แม้ว่าจำเลยทั้งสามจะทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของ ธ.และ ม. ลูกหนี้โจทก์เนื่องจากโจทก์ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ต้องการเข้าโครงการ4 เมษายน เพื่อรับสิทธิรับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารแห่งประเทศไทย มิได้มีเจตนาผูกพันตามที่แสดงออกมาก็ตาม ก็ปรากฏว่าขณะทำสัญญาค้ำประกันจำเลยทั้งสามเป็นผู้แทนโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการและจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการซึ่งถือว่าประโยชน์ได้เสียของนิติบุคคลขัดกับประโยชน์ได้เสียของผู้แทนนิติบุคคล จึงถือว่าความรู้ของจำเลยทั้งสามเป็นความรู้ของโจทก์ไม่ได้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 74 ส่วนจำเลยที่ 2ก็ไม่ปรากฏว่ามีกรรมการคนอื่นของโจทก์รู้เห็นด้วยเมื่อธ.และม.เป็นหนี้โจทก์จริง และจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาค้ำประกันบุคคลทั้งสองไว้ต่อโจทก์เช่นนี้สัญญาค้ำประกันก็ไม่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 154 จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4549/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท การครอบครองปรปักษ์ และผลผูกพันคำพิพากษาเดิม
การเดินเผชิญสืบเป็นการสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่งและเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะเดินเผชิญสืบหรือไม่ โดยพิเคราะห์ถึงสภาพ ความจำเป็น หากข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเดินเผชิญสืบอีก ทั้งนี้เพื่อให้คดีดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรมคดีนี้ตามคำฟ้องและคำให้การมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ ไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับเนื้อที่ดินหรือแนวเขตที่ดิน ทั้งในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนวินิจฉัยไว้แล้ว และแม้ศาลจะอนุญาตให้เดินเผชิญสืบที่ดินพิพาท ก็ไม่อาจทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เดินเผชิญสืบจึงชอบแล้ว
ก่อนคดีนี้ จำเลยเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นอ้างว่าบิดาโจทก์ได้ยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 9036 แปลงเดียวกับที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ให้ผู้ร้องและผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครอง โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า บิดาโจทก์มิได้ยกที่ดินดังกล่าวให้ผู้ร้อง ผู้ร้องปลูกบ้านอยู่อาศัยบนที่ดินดังกล่าวโดยความยินยอมของบิดาโจทก์คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องขอโดยวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินของจำเลยเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของบิดาโจทก์แม้จำเลยจะครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อโจทก์และจำเลยพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวในคดีก่อนและคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาฟังว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความยินยอมของบิดาโจทก์เจ้าของที่ดินเดิม คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความในคดีนี้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ว่า จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองที่ดินพิพาทโดยความยินยอมของบิดาโจทก์ ฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้ได้ จำเลยจะยกสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้
ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์จึงถึงที่สุด จำเลยรื้อฟื้นฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวอีกหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดก: ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโดยอ้างคำพิพากษาเดิม ศาลฎีกาแก้ ให้สืบพยานใหม่
ก่อนคดีนี้จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 3 ออกจากบ้านเลขที่ 39 ส่วนโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 38/2 คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา และคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน โดยคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ส.หรือของจำเลย ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า บ้านเลขที่ 39 เป็นของจำเลย ส่วนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกึ่งหนึ่งในฐานะที่ครอบครองร่วมกันมา ส. ก็ยังเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท ส่วนบ้านเลขที่ 39 ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท เมื่อ ส. ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 39 จึงเป็นทรัพย์มรดกของ ส. โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเท่าใดดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ส.หรือไม่ จึงหายุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ แม้คำพิพากษาในคดีก่อนจะผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความรายเดียวกันแต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังมาในคดีก่อนยังหาเพียงพอแก่การวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดียังไม่ควรงดสืบพยานคู่ความ จำเลยฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 ข้อ 2(ก)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9402/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามคำพิพากษาเดิม แม้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหนี้โดยการอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน18,327,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 3ผู้ค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน2,898,257.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เฉพาะโจทก์เท่านั้นที่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพิ่มขึ้นจำเลยที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 21,904,294.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีผลทำให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดเพิ่มขึ้น จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้จนถึงวันที่หักทอนบัญชีกันครั้งสุดท้ายไม่ถูกต้อง เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9035/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาเดิมต่อคู่ความเดิม และขอบเขตความรับผิดตามสัญญาเช่ารถร่วม
โจทก์และจำเลยในคดีนี้กับ ป. เคยถูก ช.ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเนื่องจากรถยนต์แท็กซี่ของจำเลยซึ่งขับโดย ป. ชนรถยนต์ของ ช. เสียหายคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ ป. และโจทก์ร่วมกันชำระเงินแก่ ช. ส่วนจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้นำรถยนต์แท็กซี่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหกรณ์โจทก์เพื่อประโยชน์ร่วมกันแม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วย คำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลย คดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาเดิมผูกพันคู่ความ แม้ฟ้องคดีใหม่โดยอ้างกรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์
ที่พิพาทคดีนี้ได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนว่าไม่ใช่ของโจทก์ เพราะโจทก์ถูกมารดาจำเลยฟ้องบุกรุกแล้วศาลให้ ขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาทการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ แม้จะอ้างเหตุใหม่ว่าความจริงที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลยแล้วโจทก์ครอบครองไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แต่โจทก์ไม่ได้ตั้งรูปเรื่องเข้ามาใหม่ว่าเป็นการได้กรรมสิทธิ์มาภายหลังจากที่ ศาลมีคำพิพากษาแล้ว แม้จำเลยคดีนี้ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทสืบต่อมาจากมารดา ผู้ชนะคดีตามคำพิพากษา จึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ ในคดีนี้ต้องผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีก่อนด้วย และโจทก์ ก็ไม่ได้เป็นบุคคลภายนอกคดีที่จะพิสูจน์ให้ตนมีสิทธิดีกว่า จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาเดิมผูกพัน แม้ฟ้องเรื่องกรรมสิทธิ์ใหม่ การครอบครองปรปักษ์ต้องไม่ขัดคำพิพากษาเดิม
ที่พิพาทคดีนี้ได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนว่าไม่ใช่ของโจทก์เพราะโจทก์ถูกมารดาจำเลยฟ้องบุกรุกแล้วศาลให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาทการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แม้จะอ้างเหตุใหม่ว่าความจริงที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลยแล้วโจทก์ครอบครองไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีจึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382แต่โจทก์ไม่ได้ตั้งรูปเรื่องเข้ามาใหม่ว่าเป็นการได้กรรมสิทธิ์มาภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วแม้จำเลยคดีนี้ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อนแต่จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทสืบต่อมาจากมารดาผู้ชนะคดีตามคำพิพากษาจึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกโจทก์ในคดีนี้ต้องผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีก่อนด้วยและโจทก์ก็ไม่ได้เป็นบุคคลภายนอกคดีที่จะพิสูจน์ให้ตนมีสิทธิดีกว่าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
of 4