พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7854/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม – ความผิดเกี่ยวกับเพศ, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, พ.ร.บ.ค้าประเวณี – จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น จำเลยได้กระทำความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาผู้เสียหายไปกระทำการค้าประเวณี เพื่อการอนาจาร ทั้งนี้โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือข่มขืนใจให้กระทำการค้าประเวณี ครบองค์ประกอบความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดต่อเสรีภาพและความผิดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ตามที่ได้กล่าวหาแล้ว โดยถ้อยคำในฟ้อง แสดงให้เห็นถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดอยู่ในตัวพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี อีกทั้งยังมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ แล้ว เมื่อพิจารณาประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด และนำสืบต่อสู้คดีได้ทุกประเด็นถูกต้องตามประเด็น คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม และชอบด้วยกฎหมายแล้ว และที่จำเลยฎีกาว่าคำฟ้องต้องบรรยายว่ามีการกระทำของจำเลยอย่างชัดเจนนั้น ก็เป็นรายละเอียดของการกระทำซึ่งโจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาและจำเลยก็สามารถนำพยานเข้าต่อสู้หักล้างได้ในภายหลังไม่ได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดีแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5975/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม การแก้ไขคำฟ้อง และการโอนขายที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงการคืนทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นมารดาจำเลยที่ 2 และบรรยายฟ้องเกี่ยวกับถ้อยคำต่าง ๆ ที่จำเลยที่ 1 กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ให้เห็นเหตุประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อย่างไรด้วย และว่า จำเลยที่ 1 ขายที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยที่ 1 โดยขายให้จำเลยที่ 2 เป็นการทำนิติกรรมที่มีเจตนาไม่สุจริตและฉ้อฉลที่จะไม่ให้ที่ดินกลับคืนเป็นของโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดิน จำเลยทั้งสองย่อมเข้าใจได้ว่าการไม่สุจริตและฉ้อฉลคือการที่จำเลยที่ 1 สมรู้กับจำเลยที่ 2 โอนขายที่ดิน เพื่อมิให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณ จึงเป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงรวม 3 ครั้ง ต่างวันเวลากันจำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยดูหมิ่นโจทก์อย่างร้ายแรง ย่อมหมายความว่า ไม่เคยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงไม่ว่าจะเป็นวันเวลาใด ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องแล้วจำเลยที่ 1 เบิกความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยด่าว่าโจทก์ โดยมิได้เบิกความถึงวันเวลาที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่า วันเวลาดังกล่าวมิได้เป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดี แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้แก่จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสามวันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้อง ก็ชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงรวม 3 ครั้ง ต่างวันเวลากันจำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยดูหมิ่นโจทก์อย่างร้ายแรง ย่อมหมายความว่า ไม่เคยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงไม่ว่าจะเป็นวันเวลาใด ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องแล้วจำเลยที่ 1 เบิกความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยด่าว่าโจทก์ โดยมิได้เบิกความถึงวันเวลาที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่า วันเวลาดังกล่าวมิได้เป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดี แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้แก่จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสามวันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้อง ก็ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม การชนสี่แยก ความรับผิดทางละเมิด จำเลยให้การต่อสู้ได้
โจทก์ฟ้องความว่าจำเลยที่1กับโจทก์ต่างขับรถไปตามถนนคนละสายแต่ต่างมุ่งหน้าไปที่สี่แยกพระยาตรังซึ่งถนนทั้งสองสายจะต้องตัดผ่านจำเลยที่1ขับรถยนต์บรรทุกผ่านสี่แยกด้วยความเร็วสูงไม่ระมัดระวังจึงเป็นเหตุให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับมาด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎหมายคำฟ้องดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่1กับโจทก์ขับรถมาอย่างไรและเกิดชนกันอย่างไรทั้งจำเลยที่2สามารถให้การต่อสู้คดีได้โจทก์ไม่จำต้องกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายขับรถตามกันหรือสวนกันหรือต่างฝ่ายต่างจอดรอสัญญาณไฟหรือฝ่าฝืนสัญญาณไฟและชนกันในลักษณะอย่างไรซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องรุกล้ำที่ดินไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุวันละเมิด โจทก์ขอค่าเสียหายต่อเนื่องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอน
คำฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดเลขที่ 1674 พร้อมห้องแถวไม้ชั้นเดียวจำนวน 2 ห้อง เลขที่249 และ 251 จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3052พร้อมห้องแถวไม้ชั้นเดียวเลขที่ 253 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ ปรากฏว่าห้องแถวเลขที่ 253 และรั้วสังกะสีของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดเลขที่ 1674 ของโจทก์รวมเนื้อที่รุกล้ำประมาณ9 ตารางเมตร โจทก์แจ้งให้จำเลยแก้ไขหลายครั้งแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหายนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชัดแจ้งแล้วว่าห้องแถวและรั้วของจำเลยปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนที่ว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายว่ารุกล้ำโดยสุจริตหรือไม่ สุจริตอย่างไร และรุกล้ำทั้งหมดหรือแต่บางส่วนนั้น เป็นข้อที่จำเลยจะต่อสู้และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ในภายหลังและไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะจำเลยให้การต่อสู้ว่า ห้องแถวและรั้วของจำเลยได้มีการปลูกสร้างมาก่อนที่บิดาจำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 3052 จากเจ้าของเดิม แม้ว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามคำฟ้องของโจทก์จะเป็นเรื่องละเมิดก็ตาม แต่ก็เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าห้องแถวไม้และรั้วของจำเลยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ดังนั้นตราบใดที่จำเลยยังไม่ยอมรื้อถอนห้องแถวไม้และรั้วส่วนที่รุกล้ำออกไป การละเมิดก็ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องกันตลอดมา อีกทั้งโจทก์ก็ขอเพียงให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเนื่องจากการขาดประโยชน์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำเสร็จเท่านั้น โจทก์หาได้เรียกค่าเสียหายตั้งแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องหรือค่าเสียหายอื่นนอกจากนี้อีก คำฟ้องของโจทก์ในกรณีเช่นนี้ แม้จะมิได้บรรยายว่าเหตุละเมิดเกิดเมื่อใดก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะไม่มีกรณีที่จำเลยจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่ผู้เช่า: คำฟ้องไม่เคลือบคลุม, หนังสือมอบอำนาจชอบ, ประเด็นใหม่ห้ามฎีกา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินโจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนเลขที่ 520 โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไปจึงบอกเลิกการเช่าและให้รื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินที่เช่าขอให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวเลขที่ 520 ออกจากที่ดินโจทก์ ทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปด้วย ฟ้องโจทก์จึงแสดงถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอคำบังคับตามป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว ส่วนที่โจทก์ไม่ระบุว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงทิศไหน มุมไหน หรือส่วนไหนของโฉนด ไม่ทำแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินที่อ้างว่าจำเลยเช่าแนบมากับฟ้องนั้น ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่จำต้องระบุว่าให้ฟ้องที่ศาลไหนเพราะการจะฟ้องคดีที่ไหนนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ฎีกาที่ว่าโจทก์ไม่ได้มาเบิกความยืนยันว่าได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจศาลไม่ควรเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคสอง ส่วนปัญหาว่าบ้านของจำเลยอยู่คนละแห่งกับที่ดินของโจทก์นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามมาตรา 249 แม้จำเลยจะยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิฎีกา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3803/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุมในคดีละเมิดจากการหลอกลวงให้เชื่อว่ามีการกู้ยืมเงินโดยมิชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมาขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ โดยเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันโจทก์ตกลง ให้กู้ยืมแต่เห็นว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวมีชื่ออ. เป็นเจ้าของที่ดิน จึงมอบหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่กรอกข้อความ แล้วให้จำเลยเอาไปให้อ.ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ จำเลยนำ หนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไปแล้วนำมาคืนให้โจทก์โดยใช้อุบาย หลอกลวงโจทก์ว่าอ.ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้แล้วโจทก์หลงเชื่อจึงให้เงินแก่จำเลยและยึดถือหนังสือสัญญากู้ยืมเงินไว้ต่อมาเมื่อหนี้ ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินถึงกำหนดชำระแล้ว โจทก์ทวงถามให้ อ. ชำระหนี้แต่อ. ปฏิเสธว่าไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ลายมือชื่อ อ. ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อปลอมการที่จำเลยใช้อุบาย หลอกลวงโจทก์ให้หลงเชื่อดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องเป็นเรื่องที่ขอให้ จำเลยรับผิดในมูลละเมิด เป็นคำฟ้องที่แสดงสภาพแห่งข้อหาและ คำขอบังคับตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยแจ้งชัด แม้จะมิได้ส่งสำเนาเอกสารที่กล่าวในคำบรรยายฟ้องมาพร้อม คำฟ้องด้วยคำฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2164/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเบิกเกินบัญชีชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดเช็ค ฟ้องไม่เคลือบคลุม การยกเหตุใหม่ในชั้นสืบไม่รับฟัง
โจทก์บรรยายในคำฟ้องมีข้อความชัดเจนว่า จำเลยได้เปิดบัญชีเดินสะพัดเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์ และได้ตกลงขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ แล้วจำเลยได้นำเงินสดและเช็คเข้าฝากและสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีจากบัญชีเป็นการหมุนเวียนเดินสะพัดเรื่อยมา เมื่อตัดทอนแล้วเป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่ง ขอให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าว ดังนี้ คำฟ้องได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น แม้โจทก์จะมิได้กล่าวถึงเช็คที่อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเงินเป็นเช็คเลขที่เท่าใด เมื่อใด ก็เป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยพาคนมาฝากเงินได้รับค่านายหน้าแล้วโจทก์จะนำหักหนี้ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในหนี้สินที่จำเลยเบิกเงินเกินบัญชี มิได้ฟ้องว่ากรรมการผู้จัดการธนาคารโจทก์อนุญาตให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีเกินขอบอำนาจ ทำให้โจทก์เสียหาย จึงไม่มีข้อต้องพิจารณาว่าการกระทำของกรรมการผู้จัดการธนาคารโจทก์เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันจำเลยจะไม่ต้องรับผิด
การที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยพาคนมาฝากเงินได้รับค่านายหน้าแล้วโจทก์จะนำหักหนี้ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในหนี้สินที่จำเลยเบิกเงินเกินบัญชี มิได้ฟ้องว่ากรรมการผู้จัดการธนาคารโจทก์อนุญาตให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีเกินขอบอำนาจ ทำให้โจทก์เสียหาย จึงไม่มีข้อต้องพิจารณาว่าการกระทำของกรรมการผู้จัดการธนาคารโจทก์เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันจำเลยจะไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2176/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยอ้างเหตุใหม่ในชั้นฎีกา และคำฟ้องไม่เคลือบคลุม
แม้ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุโดยตรงว่า จำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับ จำเลยที่ 2 ก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ แต่ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 รับว่า ได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน สย 9160 กรุงเทพมหานคร ไว้จริง เพียงแต่ปฏิเสธว่า เหตุละเมิดไม่ได้เกิดในขณะมีการขับเคลื่อนรถยนต์ แสดงว่า จำเลยที่ 2 ได้ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยและทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 อ้างว่า จำเลยที่ 1 มิได้กระทำละเมิดในขณะขับรถ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด กรณีตามคำให้การดังกล่าว จำเลยที่ 2 หาได้หลงต่อสู้ไม่ คำฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 อ้างทำนองว่า ถังสีตกมาจากด้านบนของตึก จำเลยที่ 2 ก็เพิ่งยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกา เกี่ยวกับความเสียหายที่อ้างว่าโจทก์เรียกร้องสูงเกินจริง จำเลยที่ 2 ก็มิได้โต้แย้งให้ชัดแจ้งว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามจำนวนเงินค่าซ่อมตามที่โจทก์มีใบเสนอราคาและใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานนั้น ค่าซ่อมรายการใดที่ไม่จำเป็น ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหาที่กล่าวมาจึงไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยชัดแจ้งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องในส่วนใด และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ด้วยเหตุผลใด ทั้งยังมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่จำเลยที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้าง หาได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม)
จำเลยที่ 2 อ้างทำนองว่า ถังสีตกมาจากด้านบนของตึก จำเลยที่ 2 ก็เพิ่งยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกา เกี่ยวกับความเสียหายที่อ้างว่าโจทก์เรียกร้องสูงเกินจริง จำเลยที่ 2 ก็มิได้โต้แย้งให้ชัดแจ้งว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามจำนวนเงินค่าซ่อมตามที่โจทก์มีใบเสนอราคาและใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานนั้น ค่าซ่อมรายการใดที่ไม่จำเป็น ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหาที่กล่าวมาจึงไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยชัดแจ้งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องในส่วนใด และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ด้วยเหตุผลใด ทั้งยังมีข้อเท็จจริงบางส่วนที่จำเลยที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้าง หาได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ถือเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม)