คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำร้องพิจารณาใหม่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียก/สำเนาคำฟ้องไม่ชอบ การนับระยะเวลายื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ แต่ตามคำร้องจำเลย อ้างว่าไม่มีการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัด เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาที่อื่นมิใช่ มีภูมิลำเนาตามฟ้องโจทก์แต่อย่างใด หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่ จำเลยอ้างย่อมแสดงว่าสถานที่ซึ่งพนักงานเดินหมายนำหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องไปส่งโดยวิธีปิดหมายนั้น มิใช่ภูมิลำเนาของ จำเลย การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลางนับแต่นั้นจึงเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย และการขาดนัดของจำเลยมิใช่การ จงใจขาดนัดระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ที่กำหนดไว้สิบห้าวันนับจากวันที่ได้รับ คำบังคับหรือนับจากกรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ สิ้นสุดลง หรือหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่นแล้วแต่กรณีนั้นจะเริ่ม นับต่อเมื่อการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเป็นไปโดยชอบ หากการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเป็นไปโดยมิชอบ จำเลย จะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อใดก็ได้ ไม่อยู่ในบังคับ ของบทบัญญัติมาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5517/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้โต้แย้งข้อเท็จจริงและเหตุผลของคำพิพากษาเดิม
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ว่า จำเลยไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องคดีนี้มาก่อน หากจำเลยได้รับจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีอย่างแน่นอน เนื่องจากจำเลยไม่ได้เป็นหนี้ตามฟ้อง เอกสารที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยเป็นหนี้เป็นเอกสารปลอมที่โจทก์จัดทำขึ้นเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาล คำพิพากษาของศาลที่พิพากษาให้จำเลยรับผิดตามเอกสารปลอมที่โจทก์นำสืบไปฝ่ายเดียวและเชื่อว่าจำเลยมีภูมิลำเนาตามคำฟ้อง จึงไม่ชอบ ตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวแม้จะมีข้อความระบุว่า เอกสารที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยเป็นหนี้เป็นเอกสารปลอม ก็เป็นการกล่าวเฉพาะเอกสารที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ และข้อความในคำร้องของจำเลยมีความหมายแต่เพียงว่า พยานหลักฐานที่โจทก์สืบไม่เป็นความจริงเท่านั้น คำร้องของจำเลยจึงมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หรือหากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้อย่างไร คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยย่อมไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2176/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในคดีแรงงาน การส่งคำบังคับทางปิด และผลของการสั่งให้มีผลทันที
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มิได้กำหนดระยะเวลาให้คู่ความฝ่ายซึ่งศาลมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาทยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ไว้กรณีจึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลแรงงานได้ออกคำบังคับและให้ส่งคำบังคับแก่จำเลยโดยสั่งว่า การส่งหากไม่มีผู้รับแทนให้ปิดและให้มีผลทันทีแต่คำบังคับของศาลระบุข้อความไว้เพียงว่า ให้การปิดคำบังคับมีผลตามกำหนดระยะเวลาในหมายนี้ และให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับคำบังคับเป็นต้นไป ข้อความที่ระบุไว้ในคำบังคับดังกล่าวหาได้มีความหมายว่า การปิดคำบังคับให้มีผลทันที จำเลยจึง ไม่อาจทราบได้ว่าศาลแรงงานมีคำสั่งให้การส่งคำบังคับ มีผลทันทีในกรณีที่มีการปิดคำบังคับกรณีจึงต้องอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสองประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ที่กำหนดว่า การส่งคำบังคับ ให้แก่จำเลยโดยวิธีอื่นแทนนั้นให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อ กำหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่านั้นตามที่ศาล เห็นสมควรกำหนดได้ล่วงพ้นไปแล้วนับแต่เวลาที่คำบังคับ ได้ปิดไว้ จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4684/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้และการยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ จำเป็นต้องรอจนกว่าจะเข้าถึงสำนวนคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสองบังคับให้ผู้ร้องขอให้พิจารณาใหม่จะต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัด และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาด ของศาล และในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้ากว่ากำหนดก็ต้องกล่าวถึงเหตุที่ยื่นคำร้องล่าช้ามาด้วย การขอให้พิจารณาใหม่จึงจำเป็นที่จำเลยผู้ร้องขอต้องตรวจสำนวนคดีเพื่อทราบ คำฟ้องและกระบวนพิจารณาคดีตลอดจนคำพิพากษาของศาลเสียก่อน แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ตรวจสำนวนหรือเห็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยก็ไม่อาจทราบคำฟ้อง และกระบวนพิจารณาตลอดจนคำพิพากษาของศาลที่จะทำคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นได้ เท่ากับจำเลยไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ เมื่อตามคำร้องของจำเลยอ้างว่าเจ้าพนักงานศาลยังหาสำนวนไม่พบ ทำให้จำเลยไม่สามารถตรวจดูสำนวนคดี ตลอดจนไม่สามารถคัดหรือถ่ายคำฟ้องและคำพิพากษาของศาลได้ กรณีตามคำร้องย่อมถือได้แล้วว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้และเมื่อใดที่จำเลยได้ตรวจสำนวนคดีทราบคำฟ้องคำพิพากษาตลอดจนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้นแล้ว จึงจะถือได้ว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นั้นสิ้นสุดลงในวันนั้นเมื่อจำเลยได้รับเอกสารที่ขอถ่ายจากศาลชั้นต้นในวันที่ 29พฤษภาคม 29 พฤษภาคม 2540 ก็ต้องถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงคือนับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2540เป็นต้นไป จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 10มิถุนายน 2540 จึงยังไม่ล่วงระยะเวลา 15 วันตามที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุขาดนัด, เหตุล่าช้า และเหตุจำเป็นที่ไม่อาจยื่นภายในกำหนด
คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลและในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าภายหลังครบกำหนดสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยแล้วคำขอให้พิจารณาใหม่ต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุที่ไม่อาจยื่นคำขอภายในสิบห้าวันดังกล่าว โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันจะทำให้ผู้ขอมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลงด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องร้องคดีของลูกหนี้ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์: คำร้องพิจารณาใหม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิน อำนาจอยู่ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีฝ่ายเดียวให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ แต่ในวันนัดไต่สวนคำร้อง จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีอื่นแล้ว ดังนี้ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์ของจำเลย อำนาจในการฟ้องร้องต่อสู้คดีของจำเลยจึงอยู่กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22(3) จำเลยไม่มีอำนาจที่จะยื่นคำร้องให้พิจารณาคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และการยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่เกินกำหนด
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหมายเรียกโดยแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลให้จำเลยทั้งสองแล้ว โดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2531 และ 21 กรกฎาคม 2531 ตามลำดับ กรณีถือได้ว่าเป็นการส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยทั้งสองโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ก็จะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2531 และ 5 สิงหาคม 2531 ตามลำดับ ซึ่งเป็นวันที่การส่งหมายแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดให้แก่จำเลยทั้งสองมีผล แต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 31ตุลาคม 2531 จึงเกินกำหนด 15 วัน ล่วงพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว และตามคำร้องขอของจำเลยทั้งสองก็ไม่มีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ประการใด จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องมีข้อคัดค้านคำพิพากษาที่ชัดเจนตามมาตรา 208 วรรคสอง
จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่อ้างเหตุว่า ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจากทนายจำเลยต้องเดินทางไปงานศพของปู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยไม่ได้ดัดแปลงต่อเติมอาคารที่เช่าและไม่ได้ให้ใครเช่าช่วง เพียงแต่ให้พี่สาวเป็นผู้ดูแลกิจการแทน จำเลยคืนหนังสือสัญญาเช่าแก่โจทก์เพราะถูกโจทก์หลอกลวงว่าจะต่อสัญญาเช่าให้ ส่วนค่าเช่าจำเลยชำระให้โจทก์ทุกเดือนนอกจากเดือนสุดท้ายโจทก์ไม่ยอมรับอ้างว่าให้ต่อสัญญาเสร็จเสียก่อนคำพิพากษาที่ให้จำเลยแพ้คดียังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง ซึ่งถ้าหากศาลได้เห็นพยานหลักฐานของจำเลยแล้วคงไม่มีคำพิพากษาเช่นนั้นดังนี้ ถือได้ว่าคำร้องดังกล่าวของจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1240/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกปิดผนึกและการนับระยะเวลาคำร้องพิจารณาใหม่หลังยึดทรัพย์
จำเลยทั้งห้าร่วมกันเป็นหุ้นส่วนมิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใช้ชื่อทางการค้าว่าสหพรลิ้มการช่าง ได้ร่วมกันก่อสร้างตึกแถวให้เช่า และใช้ตึกแถวมีป้ายชื่อว่าสหพรลิ้มการช่าง เป็นสำนักงานติดต่อกับโจทก์และบุคคลทั่วไป ดังนี้ ตึกแถวชื่อสหพรลิ้มการช่างเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการก่อสร้างตึกให้เช่าของจำเลยทั้งห้าเมื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้เพราะจำเลยทั้งห้าไปต่างจังหวัด การที่เจ้าพนักงานศาลปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล จึงเป็นการส่งโดยชอบ
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่จำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2525 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 8 ธันวาคม 2526 อันเป็นเวลาพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์แล้ว จำเลยจึงไม่อาจยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ทั้งกรณีมิใช่เป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่นแต่เป็นการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธียึดทรัพย์ และการขายทอดตลาดก็เป็นวิธีการที่สืบเนื่องมาจากการยึดทรัพย์นั่นเองระยะเวลาหกเดือนต้องนับแต่วันที่ยึดทรัพย์ มิใช่นับจากวันขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด