พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5240/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยคำโต้แย้งขัดรัฐธรรมนูญ: ศาลยุติธรรมมีอำนาจเบื้องต้นก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ
แม้อำนาจในการสั่งรับหรือไม่รับคำโต้แย้งของคู่ความตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ไว้พิจารณาจะเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 264 วรรคสอง แต่อำนาจในการวินิจฉัยว่า คำโต้แย้งของคู่ความเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของศาลยุติธรรมตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง
คำโต้แย้งของจำเลยที่ 3 ไม่ชัดแจ้งว่า บทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 30 อย่างไร หรือเป็นเพราะเหตุใดบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก่อให้เกิดผลที่จะทำให้บุคคลไม่มีความเสมอกันในกฎหมายหรือได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่าเทียมกันเป็นคำโต้แย้งที่ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264
คำโต้แย้งของจำเลยที่ 3 ไม่ชัดแจ้งว่า บทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 229 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 30 อย่างไร หรือเป็นเพราะเหตุใดบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก่อให้เกิดผลที่จะทำให้บุคคลไม่มีความเสมอกันในกฎหมายหรือได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่าเทียมกันเป็นคำโต้แย้งที่ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5240/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการส่งคำโต้แย้งรัฐธรรมนูญ: ศาลยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยเบื้องต้นก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ
อำนาจในการสั่งรับหรือไม่รับคำโต้แย้งของคู่ความตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง ไว้พิจารณา เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 264 วรรคสอง แต่อำนาจในการวินิจฉัยว่าคำโต้แย้งของคู่ความเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่เป็นอำนาจของศาลยุติธรรมตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง มิใช่ว่าหากคู่ความมีคำโต้แย้งในเรื่องนี้อย่างไรแล้วศาลยุติธรรมจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทุกกรณีไป
คำโต้แย้งของจำเลยที่ 3 ที่กล่าวอ้างในคำร้องมีใจความเพียงว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มิใช่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลที่จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตามมาตรา 229 ดังนั้น บทบัญญัติมาตรา 229 ที่ใช้บังคับแก่คดีจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 จำเลยที่ 3 จึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่าเทียมกัน บทบัญญัติมาตรา 229 ใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6 คำโต้แย้งดังกล่าวไม่ชัดแจ้งว่า บทบัญญัติมาตรา 229 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 อย่างไรหรือเป็นเพราะเหตุใดบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก่อให้เกิดผลที่จะทำให้บุคคลไม่มีความเสมอกันในกฎหมายหรือได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่าเทียมกัน เป็นคำโต้แย้งที่ไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264 ศาลปฏิเสธไม่ส่งคำโต้แย้งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้และคำสั่งของศาลมิใช่เป็นการวินิจฉัยว่าบทบัญญัติกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
คำโต้แย้งของจำเลยที่ 3 ที่กล่าวอ้างในคำร้องมีใจความเพียงว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 เป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มิใช่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลที่จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตามมาตรา 229 ดังนั้น บทบัญญัติมาตรา 229 ที่ใช้บังคับแก่คดีจึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 จำเลยที่ 3 จึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่าเทียมกัน บทบัญญัติมาตรา 229 ใช้บังคับไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6 คำโต้แย้งดังกล่าวไม่ชัดแจ้งว่า บทบัญญัติมาตรา 229 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 อย่างไรหรือเป็นเพราะเหตุใดบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวก่อให้เกิดผลที่จะทำให้บุคคลไม่มีความเสมอกันในกฎหมายหรือได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายไม่เท่าเทียมกัน เป็นคำโต้แย้งที่ไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 264 ศาลปฏิเสธไม่ส่งคำโต้แย้งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้และคำสั่งของศาลมิใช่เป็นการวินิจฉัยว่าบทบัญญัติกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9500/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลยุติธรรมในการวินิจฉัยคำโต้แย้งสิทธิเสรีภาพก่อนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ
โจทก์กล่าวอ้างว่า คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งที่ล่วงละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพในการดำเนินคดีของโจทก์ เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 26, 27, 28, 233 และ 249 มิใช่เป็นคำโต้แย้งว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ศาลยุติธรรมจะใช้บังคับแก่คดีนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 6 บัญญัติไว้ จึงไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 264 วรรคหนึ่ง แม้อำนาจในการสั่งรับหรือไม่รับคำโต้แย้งของคู่ความตาม มาตรา 264 วรรคหนึ่งไว้พิจารณา จะเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 264 วรรคสอง แต่อำนาจในการวินิจฉัยว่า คำโต้แย้งของคู่ความเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลยุติธรรมที่พิจารณาคดีนี้ที่จะวินิจฉัยได้ตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง มิใช่ว่าโจทก์มีคำโต้แย้งอย่างไรแล้ว ศาลยุติธรรมจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสมอไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9500/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลยุติธรรมวินิจฉัยคำโต้แย้งสิทธิเสรีภาพก่อนส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ - มาตรา 264 รธน.
คำโต้แย้งของโจทก์ที่กล่าวอ้างว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นั้น เป็นคำสั่งที่ล่วงละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพในการดำเนินคดีของโจทก์ เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 26,27,28,233 และ 249 นั้น มิใช่เป็นคำโต้แย้งว่า ตัวบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ศาลยุติธรรมจะใช้บังคับแก่คดีขัดต่อรัฐธรรมนูญตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ มาตรา 6 บัญญัติไว้คำร้องของโจทก์จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯมาตรา 264 วรรคหนึ่ง แม้อำนาจในการสั่งรับหรือไม่รับคำโต้แย้งของคู่ความตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ไว้พิจารณา จะเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 264 วรรคสอง แต่อำนาจในการวินิจฉัยว่า คำโต้แย้งของคู่ความเข้าหลักเกณฑ์ที่จะต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่นั้นเป็นอำนาจของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง มิใช่ว่าโจทก์มีคำโต้แย้งอย่างไรแล้ว ศาลยุติธรรมจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยเสมอไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานเกินกำหนดและคำโต้แย้ง ศาลอนุญาตให้สืบพยานได้
การที่ศาลไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยเพราะมิได้ยื่นภายในกำหนด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 นั้น เมื่อศาลสั่งแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องแถลงถึงความจำเป็นที่มิได้ยื่นภายในกำหนดและขอให้ยื่นบัญชีระบุพยานได้ ดังนี้ถือว่า จำเลยได้ยื่นคำโต้แย้งคัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)แล้ว จำเลยจึงยกขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นระบุพยานหลังศาลไม่อนุญาต และการตีความ 'วันสืบพยาน' ตาม ป.วิ.แพ่ง
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับระบุพยาน เพราะไม่ยื่นก่อนกำหนดวันสืบพยาน 3 วัน คู่ความฝ่ายนั้นจึงยื่นคำร้องแถลงถึงความจำเป็นที่ไม่ได้ยื่นระบุพยานภายในกำหนด และขอให้อนุญาตให้ยื่นระบุพยานได้ดังนี้ ถือว่าเป็นการยื่นคำโต้แย้งคัดค้านตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 226 (2) แล้ว
วันสืบพยานตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 88 นั้น หมายความถึงวันสืบพยานจริง ๆ ไม่ใช่วันนัดสืบพยานแล้วไม่ได้สืบพยาน
วันสืบพยานตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 88 นั้น หมายความถึงวันสืบพยานจริง ๆ ไม่ใช่วันนัดสืบพยานแล้วไม่ได้สืบพยาน