พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4687/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอคืนค่าอากรแสตมป์สำหรับผู้ได้รับการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ไม่ผูกพันระยะเวลาตามมาตรา 122 ประมวลรัษฎากร
ตามบทบัญญัติ ประมวลรัษฎากร มาตรา 122 ได้บัญญัติว่า "ผู้ใดได้เสียค่าอากรหรือค่าเพิ่มอากรเกินไปไม่น้อยกว่า 2 บาท สำหรับตราสารลักษณะเดียวหรือเรื่องเดียวผู้นั้นชอบที่จะทำคำร้องเป็นหนังสือยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่ออธิบดีเห็นว่าเกินไปจริงก็ให้คืนค่าอากรหรือค่าเพิ่มอากรที่เกินไปนั้นแก่ผู้เสียหายอากรได้ แต่คำร้องที่กล่าวนั้นจะต้องยื่นภายในเวลา 6 เดือน นับแต่วันเสียอากรหรือค่าเพิ่มอากร..." การที่บทกฎหมายดังกล่าวใช้คำว่า "ผู้ใดได้เสียค่าอากรหรือค่าเพิ่มอากรเกินไป" นั้น เจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรานี้ให้ใช้บังคับแก่ผู้มีหน้าที่ต้องเสียอากรหรือเสียค่าเพิ่มอากรของผู้มีหน้าที่ต้องเสียตามที่กฎหมายกำหนด "เกินไป" เท่านั้น มิได้มีเจตนาให้ตีความขยายรวมไปถึงผู้ไม่มีหน้าที่ต้องเสียหรือผู้ที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่เรียกเก็บอากรไปโดยได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าอากรด้วยไม่ เพราะหากกฎหมายมีเจตนาให้ขยายรวมไปถึงผู้ไม่มีหน้าที่ต้องเสียหรือผู้ที่ถูกเจ้าพนักงานเรียกเก็บอากรไปโดยได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าอากรด้วยแล้วกฎหมายก็จะต้องบัญญัติข้อความดังกล่าวลงในตัวบทกฎหมายให้ชัดเจน เมื่อรายรับของโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าอากรการขอคืนค่าอากรจากจำเลยในเรื่องระยะเวลาจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับ มาตรา 122 แห่งบทบัญญัติประมวลรัษฎากร และไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 27 ตรี ซึ่งเป็นเรื่องการขอคืนภาษีอากรซึ่งจะต้องยื่นขอคืนนับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนดด้วย โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนค่าอากรจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8271/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจฟ้องคดี ค่าอากรแสตมป์ การมอบอำนาจครั้งเดียว
ข้อความในหนังสือมอบอำนาจ ระบุว่า โจทก์มอบอำนาจให้ ธ. ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งเรียกค่าสินไหมทดแทนค่าปลงศพและค่าซ่อมรถจากกรณีรถชน แม้จะมีข้อความด้วยว่า ให้มีอำนาจเป็นผู้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ถ้อยคำถอนคำร้องทุกข์ มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีและเข้าเป็นโจทก์ร่วมในชั้นศาล มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลได้ทุกประการรวมทั้งให้มีอำนาจดำเนินการไปในทางจำหน่ายสิทธิของโจทก์ได้ด้วย เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความการสละสิทธิหรือการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาหรือในการขอ ให้พิจารณาคดีใหม่ และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี มีสิทธิรับเงิน เอกสารหรือสิ่งของอื่น ๆ ไปจากศาลหรือเจ้าพนักงานศาล มีอำนาจแต่ตั้งทนายความและหรือแต่งตั้งตัวแทนช่วงดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นก็ตาม แต่การกระทำต่าง ๆเหล่านี้ก็เป็นการกระทำเกี่ยวกับเรื่องการเรียกค่าสินไหมทดแทนค่าปลงศพ และค่าซ่อมรถจากกรณีรถชนและแม้จะมีข้อความให้ดำเนินการในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนอยู่ด้วยก็เป็นการกระทำในเรื่องเดียวกันเกี่ยวกับกรณีรถชนดังกล่าวจึงเป็นมอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียวต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันไม่จำกัดจำนวนเงิน ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท ถือว่าถูกต้องและใช้เป็นพยานหลักฐานได้
ตราสารค้ำประกันตามบัญชีอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 ข้อ 17 บัญญัติว่า "(ก) สำหรับกรณีมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ข) สำหรับจำนวนเงินไม่เกิน 1,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท (ค) สำหรับจำนวนเงินเกิน 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท (ง) สำหรับจำนวนเงินเกิน 10,000 บาทขึ้นไป ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท"
สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทนอย่างนั้นนั่นเอง กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันมีเท่ากับหนี้ของลูกหนี้ จึงให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ไม่ถึงหนี้ของลูกหนี้ ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป เป็นการพิสูจน์หนี้ทั้งของลูกหนี้และของผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยากขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข) (ค) และ (ง)
หนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องมีใจความว่า การที่ผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดี จะต้องรับผิดชดใช้เงินในความเสียหายใดๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า (จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัด จำนวนเงินไว้คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังบัญญัติไว้ในข้อ (ก) หนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวซึ่งปิดอากรแสตมป์ 1 บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายแล้ว
สำหรับกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินไว้นั้น หมายถึงกรณีที่มิได้จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทนอย่างนั้นนั่นเอง กล่าวคือเมื่อผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้โดยมิได้จำกัดจำนวนเงินไว้ก็ไม่ต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป โดยถือว่าหนี้ของผู้ค้ำประกันมีเท่ากับหนี้ของลูกหนี้ จึงให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่กรณีที่จำกัดจำนวนเงินที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนลูกหนี้ไม่ถึงหนี้ของลูกหนี้ ก็ย่อมจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์หนี้ของผู้ค้ำประกันต่อไป เป็นการพิสูจน์หนี้ทั้งของลูกหนี้และของผู้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มความยุ่งยากขึ้นอีก จึงให้ปิดอากรแสตมป์เพิ่มขึ้นตามจำนวนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ (ข) (ค) และ (ง)
หนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องมีใจความว่า การที่ผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้นั้น ถ้าผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินตามสัญญาดังกล่าวแก่บริษัทก็ดี จะต้องรับผิดชดใช้เงินในความเสียหายใดๆ แก่บริษัทก็ดี ข้าพเจ้า (จำเลย) ยอมค้ำประกันและรับผิดชอบเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้เช่าซื้อทุกประการ จึงเป็นกรณีที่มิได้จำกัด จำนวนเงินไว้คือลูกหนี้รับผิดอย่างไรผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดแทน (ร่วมกัน) ลูกหนี้อย่างนั้น ดังบัญญัติไว้ในข้อ (ก) หนังสือสัญญาค้ำประกันดังกล่าวซึ่งปิดอากรแสตมป์ 1 บาท จึงเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมายแล้ว