คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค้างพิจารณา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2137/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาคดีเช็คหลังมีกฎหมายใหม่ และขอบเขตการคุ้มครองคดีที่ค้างพิจารณา
พระราชบัญญัติ ญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 10 บัญญัติว่า สำหรับบรรดาความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลใดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ศาลนั้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไปได้ หมายความรวมทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาระหว่างการประกาศใช้ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ดังนั้น ขณะที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 ยังมิได้ประกาศยกเลิกแม้ต่อมามีประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติดังกล่าวและคดียังค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปได้ หาใช่ว่าอัตราโทษตามกฎหมายใหม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง คดีโจทก์จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: การเรียกร้องค่าเสียหายซ้ำซ้อนในคดีเดิมที่ยังพิจารณาค้างอยู่
ตามคำฟ้องคดีก่อนโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ขออนุญาตปลูกสร้าง อาคารและจำเลยทั้งสองได้อนุญาตให้โจทก์ปลูกสร้างอาคารได้ โจทก์จึง ได้จ้างบริษัท ม. ทำการสร้างเข็มเจาะเพื่อทำการก่อสร้างโดยเสียค่าจ้างเป็นเงิน 140,000 บาท ต่อมาจำเลยมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าว โดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับ ที่ดินที่ ทำ การปลูกสร้างอาคารให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบ จึงขอให้ ศาลเพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสอง คดีนี้คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยาย กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยทั้งสองให้ทำการปลูกสร้าง อาคารแล้ว โจทก์จึงได้ดำเนินการก่อสร้างโดยเสียค่าใช้จ่ายในการ ปรับหน้าดินกับค่าจ้างเขียนแบบและค่าจ้างบริษัท ม. ทำการสร้างเข็มเจาะ รวมเป็นเงินที่ได้ลงทุนไปทั้งสิ้น 220,000 บาท ต่อมา จำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อร่วมกันกระทำโดยมิชอบออกคำสั่ง เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจทำการก่อสร้างได้ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในเงินที่โจทก์ได้ลงทุนไป ขอให้บังคับ จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าวสาระสำคัญอันที่โจทก์ นำมากล่าวอ้างเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องและเรียกค่าเสียหายในคดีนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องเดียวกัน และมูลเหตุเดียวกันกับในคดีก่อน ชอบที่โจทก์จะได้เรียกร้องค่าเสียหายมาพร้อมกับฟ้องในคดีก่อน เสียในคราวเดียวกัน โจทก์จะนำคดีมาแบ่งแยกฟ้องทีละส่วนทีละตอน ทั้ง ๆ ที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หาได้ไม่ ฟ้อง โจทก์ คดี นี้ จึง เป็น ฟ้องซ้อน ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3522/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-ซ้อนในคดีแรงงาน: ผลของการถอนฟ้อง, คดีค้างพิจารณา, และขอบเขตคำพิพากษา
โจทก์ทุกคนในคดีนี้ยกเว้นโจทก์ที่ 17 และที่ 47 เคยฟ้องจำเลยในมูลคดีเดียวกันนี้ต่อศาลแรงงานกลางโดยมิได้ลงชื่อในคำฟ้องหรือแต่งตั้งบุคคลอื่นดำเนินคดีแทน ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาคดีเฉพาะโจทก์ที่ลงชื่อในคำฟ้องและยกฟ้องโจทก์ที่มิได้ลงชื่อดังกล่าว โจทก์ที่ลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ดังนี้เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวมิได้มีการกำหนดให้คำพิพากษาผูกพันนายจ้างและลูกจ้างอื่นซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลแห่งคดีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 53 คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องเนื่องจากมิได้ลงชื่อในคำฟ้องและมิได้แต่งตั้งให้บุคคลอื่นดำเนินคดีแทนด้วย และเมื่อศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทของโจทก์อื่นดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ในคดีนี้บางคนเคยฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลาง และได้ขอถอนฟ้อง ศาลแรงงานกลางอนุญาต จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลแรงงานกลางต่อศาลฎีกา ศาลแรงงานกลางไม่รับอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ต่อศาลฎีการะหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อคดีก่อนยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลฎีกาแล้ว โจทก์จะนำคดีเรื่องเดียวกันนี้มาฟ้องจำเลยคนเดียวกันอีกไม่ได้ ฟ้องของโจทก์เฉพาะโจทก์ที่เคยฟ้องจำเลยมาดังกล่าวจึงเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ส่วนการถอนฟ้องของโจทก์ดังกล่าวอันจะทำให้มีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้อง ฯ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 นั้นจะต้องเป็นกรณีที่การถอนฟ้องได้ถึงที่สุดไปแล้วโดยไม่มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดศาลหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2564

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีค้ามนุษย์ที่ค้างพิจารณา: การบังคับใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดี และการรับฎีกาโดยความเห็นชอบของอัยการสูงสุด
แม้โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ภายหลังวันที่ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.2559 ใช้บังคับ แต่ก่อนฟ้องคดีต่อศาลและก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นสืบพยานรายผู้เสียหายไว้ล่วงหน้าแล้ว ย่อมถือว่าคดีนี้เป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้นก่อนวันที่ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.2559 ใช้บังคับ จึงต้องนำ ป.วิ.อ. ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.2559 ใช้บังคับมาใช้บังคับต่อไปตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.2559 มาตรา 48 การฎีกาของโจทก์ย่อมเป็นไปตาม ป.วิ.อ. ไม่ใช่ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.2559 ซึ่งฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามต้องห้ามคู่ความฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 แต่ตามหนังสือรับรองของอัยการสูงสุดแนบท้ายคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา รับรองว่าฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสามมีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย พอถือได้ว่าอัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย จึงให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 โดยโจทก์ไม่ต้องขออนุญาตฎีกา