พบผลลัพธ์ทั้งหมด 54 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5513/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท คดีค้ามนุษย์ การลงโทษบทหนักสุด
การที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นและความผิดฐานพาเด็กหญิงไปจากประเทศสยามเพื่อการรับจ้างให้เข้าทำเมถุนกรรมนั้น เป็นการกระทำไปโดยมีเจตนา อย่างเดียวคือพาผู้เสียหายไปขายบริการทางเพศที่ประเทศ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการพาออกไปจากประเทศสยาม ถือได้ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบทและกรณี เป็นเหตุในลักษณะคดีจึงมีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3266/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสอบสวนคดีค้ามนุษย์ของหน่วยเฉพาะกิจ: การจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจไม่จำเป็นต้องมีพระราชกฤษฎีกา
ร้อยตำรวจโทอ.และพันตำรวจโทพ.เป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสอง และเป็นเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งกรมตำรวจที่ 1502/2530 เรื่อง การจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการปลอมหนังสือเดินทางไปต่างประเทศการล่อลวงหญิงไปเพื่อการค้าประเวณีหรือในทางมิชอบในต่างประเทศการจัดส่งคนงานไปต่างประเทศโดยมิชอบ จึงเป็นพนักงานสอบสวนของหน่วยเฉพาะกิจ และตามข้อ 5.3 ของคำสั่งดังกล่าวให้หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจมีอำนาจเสนอขออนุมัติกรมตำรวจให้พนักงานสอบสวนของหน่วยเฉพาะกิจสอบสวนคดีความผิดตามคำสั่งดังกล่าวได้ และพันตำรวจโทพ.รักษาราชการแทนหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจได้ขออนุมัติอธิบดีกรมตำรวจให้พันตำรวจโทพ.และร้อยตำรวจโทอ.ทำการสอบสวนคดีความผิดตามคำสั่งดังกล่าวและกรมตำรวจก็ได้อนุมัติแล้ว ร้อยตำรวจโทอ.และพันตำรวจโทพ. จึงมีอำนาจทำการสอบสวนคดีดังกล่าว การจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจตามคำสั่งกรมตำรวจเป็น เพียงการปฏิบัติงานภายในกรมตำรวจ มิใช่เป็นการ แบ่งส่วนราชการกรมตำรวจ ไม่จำต้องตรา เป็นพระราชกฤษฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3266/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนหน่วยเฉพาะกิจ และความชอบด้วยกฎหมายของการสอบสวนคดีค้ามนุษย์
ร้อยตำรวจโทอ. และพันตำรวจโทพ.เป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา18วรรคสองและเป็นเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งกรมตำรวจที่1502/2530เรื่องการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการปลอมหนังสือเดินทางไปต่างประเทศการล่อลวงหญิงไปเพื่อการค้าประเวณีหรือในทางมิชอบในต่างประเทศการจัดส่งคนงานไปต่างประเทศโดยมิชอบจึงเป็นพนักงานสอบสวนของหน่วยเฉพาะกิจและตามข้อ5.3ของคำสั่งดังกล่าวให้หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจมีอำนาจเสนอขออนุมัติกรมตำรวจให้พนักงานสอบสวนของหน่วยเฉพาะกิจสอบสวนคดีความผิดตามคำสั่งดังกล่าวได้และพันตำรวจโทพ.รักษาราชการแทนหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจได้ขออนุมัติอธิบดีกรมตำรวจให้พันตำรวจโทพ.และร้อยตำรวจโทอ.ทำการสอบสวนคดีความผิดตามคำสั่งดังกล่าวและกรมตำรวจก็ได้อนุมัติแล้วร้อยตำรวจโทอ.และพันตำรวจโทพ.จึงมีอำนาจทำการสอบสวนคดีดังกล่าว การจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจตามคำสั่งกรมตำรวจเป็นเพียงการปฏิบัติงานภายในกรมตำรวจมิใช่เป็นการแบ่งส่วนราชการกรมตำรวจไม่จำต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีค้ามนุษย์และค้าประเวณี: ศาลแก้โทษจำคุกจำเลยที่ 2-3 ลดหย่อนตามเหตุบรรเทาโทษ และยกฟ้องจำเลยอื่น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่2และที่3ฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา283แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่2และที่3เป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอมเองอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282ศาลก็มีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยที่2และที่3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282ได้ เมื่อความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยหญิงนั้นสมัครใจยินยอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282และฐานจัดหาผู้กระทำการค้าประเวณีเป็นปกติธุระตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2503มาตรา8เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทย่อมต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90 การที่จำเลยที่2ยึดถือหนังสือเดินทางและตั๋วโดยสารเครื่องบินของพวกผู้เสียหายไว้เป็นไปโดยความยินยอมของพวกผู้เสียหายตามข้อตกลงแล้วการกระทำของจำเลยที่2และที่3จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา188แม้ความผิดข้อหานี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาแต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่2และที่3ไม่เป็นความผิดแล้วศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185ประกอบด้วยมาตรา215และมาตรา225 จำเลยที่1เพียงขับรถพาหญิงซึ่งสมัครใจค้าประเวณีไปส่งตามที่จำเลยที่2มอบหมายการที่จำเลยที่1รับเงินค่าหญิงบริการจากเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมมาก็ต้องนำไปมอบให้แก่จำเลยที่2เป็นการรับไว้แทนจำเลยที่2การกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่2ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา282และพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณีพ.ศ.2503มาตรา8ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และข่มขืนใจพาผู้อื่นไปค้าประเวณีทั้งในและนอกราชอาณาจักร
จำเลยกับพวกใช้อุบายหลอกลวงและพาโจทก์ทั้งสองไปค้าประเวณีที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา แล้วยังได้พาโจทก์ทั้งสองไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซีย การกระทำของจำเลยมีเจตนาอย่างเดียวคือพาโจทก์ทั้งสองไปค้าประเวณี เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดกฎหมายหลายบท คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 320 วรรคแรกและมาตรา 283 วรรคแรกและวรรคสอง ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคแรกและวรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาเรื่องนี้ แต่การปรับบทลงโทษเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4749/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานค้ามนุษย์: เจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น vs. ของตนเอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 ปรากฏว่าจำเลยกับนาย ส.กับพวกอีกคนหนึ่งนำรถยนต์ไปรอดักฉุดผู้เสียหายขณะผู้เสียหายออกจากหอพักเพื่อจะไปซื้อของ และเมื่อขึ้นไปบนรถแล้วนาย ส.ใช้อาวุธปืนขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายร้อง และได้พาไปกักขังไว้ที่บ้านหลังหนึ่ง ถือได้ว่าจำเลยกับนาย ส.เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วยกัน แม้การพาผู้เสียหายไปนั้นเพื่อสำเร็จความใคร่ของนาย ส. และเพื่อการอนาจารผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยก็หาเป็นความผิดตามมาตรา 283 ตามฟ้องไม่ เพราะความผิดตามมาตรา 283 นั้น ต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ถ้าเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้กระทำนั้นเอง หรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้วก็หาเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่ เมื่อจำเลยและนาย ส.กับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของนาย ส.ไม่ได้ร่วมกันพาไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นใด จึงจะแยกการกระทำที่ประกอบร่วมกันนี้ให้ตกเป็นความผิดแก่จำเลยว่าพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่ใช่ของตนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5410/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานค้ามนุษย์และพรากเด็ก การกระทำถือเป็นความผิดต่างฐานกัน
การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปขายให้แก่ จ.ซึ่งเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีเพื่อให้ผู้เสียหายค้าประเวณี ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ฐานหนึ่งแล้ว และขณะเดียวกันการที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาของผู้เสียหาย จำเลยก็มีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีไปเสียจากอำนาจปกครองของมารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามมาตรา 317 วรรคสามอีกฐานหนึ่งต่างหากจากความผิดตามมาตรา 283 วรรคสาม มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 กับพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 จำเลยกระทำเพียงครั้งเดียวและเกิดผลเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 ป.วิ.อ. กรณีโต้เถียงข้อเท็จจริงในความผิดฐานค้ามนุษย์
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 ตาม ป.อ. มาตรา 282 มีกำหนด 5ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษให้จำคุก 3 ปี คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 ฎีกาที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปเที่ยว แล้วพาผู้เสียหายไปให้ ก. กระทำชำเราเป็นการคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานในสำนวน เพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ใช้อุบายหลอกลวงพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร้จความใคร่ของผู้อื่นก็ดี และฎีกาที่ว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำผิดดังฟ้องก็ดีเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 282 เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาผู้เสียหายไป เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้น เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 282 เพราะข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาผู้เสียหายไป เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นนั้น เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3888/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานค้ามนุษย์และหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ค้าประเวณี
จำเลยที่ 3, ที่ 4 ร่วมกับพวกอีกหลายคนทำการหน่วงเหนี่ยวกักขัง และบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสี่ให้ค้าประเวณี ย่อมเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310วรรคแรกกระทงหนึ่งและผิดตาม มาตรา 283 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1595/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานค้ามนุษย์โดยการหลอกลวงและข่มขืนกระทำชำเราถือเป็นกรรมเดียว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคแรก กระทงหนึ่งจำคุกคนละ 3 ปี ผิดตามมาตรา 320 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง จำคุกคนละ 2 ปีจำเลยที่ 4 มีความผิดตามมาตรา 283,86 กระทงหนึ่ง จำคุก 2 ปีและผิดตามมาตรา 320,86 อีก กระทงหนึ่ง จำคุก 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามมาตรา 283วรรคแรก และมาตรา 320 วรรคสอง ลงโทษตามมาตรา 283 วรรคแรกซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 มีความผิดตามมาตรา 283 วรรคสุดท้าย 320 วรรคสอง และมาตรา 86 ลงโทษตามมาตรา 283 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 3 ปี จำเลยที่ 4 สองปี ดังนี้ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้บท ทั้งโทษที่ลงก็จำคุกไม่เกิน 5 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จำเลย จะฎีกา โต้เถียงว่าไม่ได้กระทำผิดมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (อ้าง คำพิพากษาฎีกาที่ 1588/2492 และ 2177/2520)
จำเลยใช้อุบายกล่าวหาโจทก์ร่วมว่ายักยอกทรัพย์เพื่อให้ โจทก์ร่วมจำนนต่อคดีในทางอาญาแล้วจูงใจให้โจทก์ร่วมไปทำงาน ที่ฮ่องกงเพื่อให้มีรายได้และให้พ้นคดีอาญาครั้นโจทก์ร่วมยอมไป ถึงฮ่องกง ก็มีผู้ชายมารับที่สนามบินไปควบคุมตัวไว้ไม่ให้หนี แล้วมีผู้ชายมารับโจทก์ร่วมไปข่มขืนกระทำชำเราตามโรงแรม ต่าง ๆ หลายครั้งดังนี้ เห็นเจตนาของจำเลย ได้ว่า หาได้จัด ส่งโจทก์ร่วมออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อการอย่างอื่นไม่เจตนา แท้จริงก็เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นประการเดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
จำเลยใช้อุบายกล่าวหาโจทก์ร่วมว่ายักยอกทรัพย์เพื่อให้ โจทก์ร่วมจำนนต่อคดีในทางอาญาแล้วจูงใจให้โจทก์ร่วมไปทำงาน ที่ฮ่องกงเพื่อให้มีรายได้และให้พ้นคดีอาญาครั้นโจทก์ร่วมยอมไป ถึงฮ่องกง ก็มีผู้ชายมารับที่สนามบินไปควบคุมตัวไว้ไม่ให้หนี แล้วมีผู้ชายมารับโจทก์ร่วมไปข่มขืนกระทำชำเราตามโรงแรม ต่าง ๆ หลายครั้งดังนี้ เห็นเจตนาของจำเลย ได้ว่า หาได้จัด ส่งโจทก์ร่วมออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อการอย่างอื่นไม่เจตนา แท้จริงก็เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นประการเดียว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว