พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8247/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดจำนวนกรรมในความผิดฐานพนัน: จำนวนครั้งของการแข่งขันฟุตบอลแต่ละนัดเป็นกรรมต่างกันได้ แม้จะมีลูกค้าจำกัด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2546 จำเลยกับพวกร่วมกันเล่นการพนันทายผลฟุตบอลโดยถือผลแพ้ชนะของการแข่งขันฟุตบอลต่างประเทศทีมต่าง ๆ เป็นผลแพ้ชนะระหว่างจำเลยกับพวกจำนวน 211 ครั้ง ๆ ละ 1 วัน โดยจำเลยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำฟ้อง การที่จำเลยกับพวกร่วมกันเล่นการพนันทายผลฟุตบอลรวมจำนวน 211 ครั้ง โดยถือเอาการแข่งขันฟุตบอลแต่ละครั้งเป็นผลแพ้ชนะ เป็นการกระทำความผิดซึ่งอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากกันได้ตามผลการแข่งขันของฟุตบอลแต่ละครั้งที่จำเลยกับพวกเข้าเล่นการพนันทายผลฟุตบอลกัน แม้จะมีลูกค้าแทงพนันเพียง 40 คนก็ตาม เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันเล่นการพนันทายผลฟุตบอลตามฟ้องรวมจำนวน 211 ครั้ง การกระทำของจำเลยตามที่ปรากฏในฟ้องจึงเป็นความผิดรวม 211 กรรมต่างวาระกัน หาใช่เป็นการกระทำอันเป็นความผิด 40 กรรม ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์และใช้บัตร ATM ผิดหลายกรรม การกำหนดจำนวนกรรมที่ถูกต้อง
การที่จำเลยที่ 1 ลักเอาบัตร เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคาร ก. ซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไปนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมทราบดีว่าไม่สามารถเบิกถอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายในครั้งเดียวได้หมดเพราะมีข้อจำกัดของธนาคารเกี่ยวกับจำนวนเงินในการเบิกถอน เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 นำบัตรดังกล่าวไปเบิกถอนเงินในวันเวลาและสถานที่ต่าง ๆ กันหลายจังหวัด ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ว่า ต้องการใช้บัตรนั้นเบิกถอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายเป็นคราว ๆ ไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้บัตร เอ.ที.เอ็ม. เบิกถอนเงิน 60 ครั้ง เป็นความผิด 60 กระทง เมื่อรวมกับความผิดฐานลักบัตรดังกล่าวอีก 1 กระทง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดรวม 61 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 291/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องหมิ่นประมาทที่ไม่ระบุรายละเอียดจำนวนกรรมและเวลาที่กระทำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ถึง 16 สิงหาคม2532 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกัน โดยจำเลยได้กล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามพร้อมทั้งบรรยายข้อความดังกล่าวแม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกันเป็นจำนวนกี่กรรม และแต่ละกรรมนั้นจำเลยกระทำความผิดเมื่อใดและอย่างไรก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ กรณีลงโทษไม่ครบตามจำนวนกรรม และไม่ระบุมาตราความผิดให้ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยต่างกรรมต่างวาระรวม 63 กรรม จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงจำเลยเพียง 62 กรรม โดยไม่ปรากฏว่าได้ยกฟ้องจึงไม่ถูกต้อง แม้อุทธรณ์โจทก์จะมิได้ระบุมาว่าศาลชั้นต้นลงโทษกรรมใด และมิได้ลงโทษกรรมใดมาให้ชัดแจ้ง แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าขอให้ลงโทษในกรรมที่ขาดไป ซึ่งเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ลงโทษในกรรมสุดท้ายเพราะนับขาดไปอุทธรณ์โจทก์จึงสมบูรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยโดยไม่แยกว่า การกระทำกรรมใดเป็นความผิดตามมาตราใดให้ชัดเจน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ ส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอในฟ้องฎีกาของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยโดยไม่แยกว่า การกระทำกรรมใดเป็นความผิดตามมาตราใดให้ชัดเจน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ ส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอในฟ้องฎีกาของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษไม่ครบถ้วนตามจำนวนกรรมที่ฟ้อง และการแก้ไขโทษที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยต่างกรรมต่างวาระ รวม 63 กรรม จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย เพียง 62 กรรม โดยไม่ปรากฏว่าได้ยกฟ้องจึงไม่ถูกต้องแม้อุทธรณ์ โจทก์จะมิได้ระบุมาว่า ศาลชั้นต้นลงโทษกรรมใด และมิได้ลงโทษ กรรมใดมาให้ชัดแจ้ง แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าขอให้ลงโทษในกรรม ที่ขาดไป ซึ่งเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ลงโทษในกรรมสุดท้ายเพราะนับขาดไปอุทธรณ์ โจทก์จึงสมบูรณ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยโดยไม่แยกว่า การกระทำกรรมใดเป็นความผิดตามมาตราใดให้ชัดเจน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ ส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดแต่โจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินคำขอในฟ้องฎีกาของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกและปลอมเอกสาร การถอนฟ้องอาญา และการกำหนดจำนวนกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 353 ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ร่วมขอถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) และโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินที่ขาดแก่โจทก์ร่วม ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 ไม่ใช่ความผิดอันยอมความได้สิทธิฟ้องของอัยการยังไม่ระงับ
เมื่อมีลูกค้าแต่ละรายนำเงินมาชำระ จำเลยก็ปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินให้มีจำนวนเงินน้อยกว่าเงินที่รับจริงแล้วยักยอกเงินส่วนที่เกินไว้นั้นการปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับหนึ่งแล้วยักยอกเอาเงินจำนวนที่เกินกว่าสำเนาใบเสร็จนั้นไว้ครั้งหนึ่ง ย่อมเป็นความผิดสำเร็จกรรมหนึ่งตั้งแต่เวลายักยอกเงินจำนวนนั้นแล้ว การที่จำเลยรวบรวมเงินแต่ละวันส่งให้หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วม เป็นแต่เพียงการปฏิบัติตามหน้าที่ของจำเลย หาใช่เป็นการยักยอกเงินในตอนนั้นไม่
สำเนาใบเสร็จรับเงินเป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าได้มีการออกต้นฉบับใบเสร็จรับเงินมีข้อความตรงกับสำเนาใบเสร็จเท่านั้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ อันจะถือว่าเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)
เมื่อมีลูกค้าแต่ละรายนำเงินมาชำระ จำเลยก็ปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินให้มีจำนวนเงินน้อยกว่าเงินที่รับจริงแล้วยักยอกเงินส่วนที่เกินไว้นั้นการปลอมสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับหนึ่งแล้วยักยอกเอาเงินจำนวนที่เกินกว่าสำเนาใบเสร็จนั้นไว้ครั้งหนึ่ง ย่อมเป็นความผิดสำเร็จกรรมหนึ่งตั้งแต่เวลายักยอกเงินจำนวนนั้นแล้ว การที่จำเลยรวบรวมเงินแต่ละวันส่งให้หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วม เป็นแต่เพียงการปฏิบัติตามหน้าที่ของจำเลย หาใช่เป็นการยักยอกเงินในตอนนั้นไม่
สำเนาใบเสร็จรับเงินเป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าได้มีการออกต้นฉบับใบเสร็จรับเงินมีข้อความตรงกับสำเนาใบเสร็จเท่านั้น ไม่ใช่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ อันจะถือว่าเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสงคราม: การพิจารณาบทกฎหมายที่ใช้บังคับและจำนวนกรรม
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 ได้แก้ไขต่อ ๆ มาให้ใช้ มาตรา 72 ที่แก้ไขใหม่ ศาลลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 72 แล้ว การอ้างหรือไม่อ้างฉบับที่ 5 มาตรา 3 ก็ไม่เป็นสารสำคัญที่จะต้องวินิจฉัย
มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต มีเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะในการสงครามความผิด 2 ฐาน กฎหมายบัญญัติความผิดและลงโทษคนละมาตรา เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต มีเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะในการสงครามความผิด 2 ฐาน กฎหมายบัญญัติความผิดและลงโทษคนละมาตรา เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5118/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันในคดียาเสพติด: การลงโทษและจำนวนกรรม
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ (ก) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2552 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2552 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 98 เม็ด (หน่วยการใช้) โดย 8 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักสุทธิ 0.71 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์จำนวนเท่าใดไม่ปรากฏชัดและ 90 เม็ด (หน่วยการใช้) น้ำหนักสุทธิ 7.99 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 1.206 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย (ข) วันที่ 18 มีนาคม 2552 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 8 เม็ด (หน่วยการใช้) ดังกล่าวให้แก่ ช. ในราคา 1,600 บาทและ (ค) วันที่ 18 มีนาคม 2552 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 90 เม็ด (หน่วยการใช้) ดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 18,000 บาท ดังนี้ฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดเจนแล้วว่า จำเลยกระทำความผิดสามกรรมต่างวาระกัน ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เมื่อจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้อง เท่ากับจำเลยยอมรับแล้วว่า ได้กระทำความผิดสามกรรมต่างกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6568/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องที่ไม่ชัดเจนถึงจำนวนกรรมความผิด ทำให้ศาลต้องยกฟ้อง แม้จะมีหลักฐาน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างต้นเดือนตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 23 ตุลาคม 2545 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 ด้วยการใช้มือจับหน้าอกและอวัยวะเพศของผู้เสียหายทั้งสองจำนวนหลายครั้ง และใช้อวัยวะเพศถูไถที่อวัยะเพศของผู้เสียหายที่ 2 โดยผู้เสียหายทั้งสองยินยอมต่างกรรมต่างวาระกัน รวมจำนวน 10 ครั้ง การกระทำอนาจารผู้เสียหายแต่ละคนแต่ละคราวย่อมเป็นความผิดแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย 2 คน ต่างกรรมต่างวาระกัน รวม 10 ครั้ง จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายแต่ละคน คนละกี่กรรม จึงเป็นฟ้องที่ไม่บรรยายให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ซึ่งศาลต้องยกฟ้อง ไม่อาจลงโทษจำเลยได้แม้แต่กรรมเดียว ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225