พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6394/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธของจำเลยที่ 4 ในสัญญาประกันภัยต้องระบุเหตุผลชัดเจน หากไม่ชัดเจนจะไม่มีสิทธิในการนำสืบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันพิพาท โดยมีจำเลยที่ 4เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 4ให้การรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจริงแต่ปฏิเสธว่าขณะทำสัญญาประกันภัย จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยโดยมิได้กล่าวในคำให้การว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีส่วนได้เสียอย่างไรคำให้การของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวจึงไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิที่จะนำสืบตามคำให้การนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 890/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องค่าก่อสร้างและการละเมิดสิทธิของโจทก์จากการจ่ายเงินให้จำเลยที่ 4
จำเลยที่1ทำสัญญาจ้างจำเลยที่4ก่อสร้างอาคารและจำเลยที่4ทำสัญญากู้เงินโจทก์โดยมีข้อความในสัญญากู้ด้วยว่าจำเลยที่4โอนสิทธิเรียกร้องการรับเงินค่าก่อสร้างตามสัญญาให้แก่โจทก์เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่4โอนสิทธิเรียกร้องให้แก่โจทก์และโจทก์กับจำเลยที่4มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งมายังจำเลยที่2และที่3ผู้มีหน้าที่จะต้องเบิกจ่ายเงินค่าจ้างจึงถือว่าโจทก์และจำเลยที่4ได้ปฏิบัติตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา303วรรคหนึ่งและมาตรา306บัญญัติไว้แล้วสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่4ในการรับเงินค่าจ้างก่อสร้างจึงตกเป็นของโจทก์ตั้งแต่นั้นส่วนจำเลยที่4ย่อมหมดสิทธิที่จะรับเงินจำนวนดังกล่าวอีกต่อไปจำเลยที่1จึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องจ่ายค่าจ้างแก่จำเลยที่4เมื่อจำเลยที่2และที่3ได้ขออนุมติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อจ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่4และผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติให้จ่ายได้จึงเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ซึ่งจำเลยที1ที่2และที่3ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้รถร่วมบริการ และความรับผิดทางแพ่งเมื่อไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง สรุปว่าจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิด
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ยินยอมให้จำเลยที่ 3นำรถยนต์คันเกิดเหตุเข้าร่วมบริการเดินรถรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางที่จำเลยที่ 4 ได้รับสัมปทานการที่จำเลยที่ 3 นำรถยนต์เข้าวิ่งรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางดังกล่าวเป็นการกระทำไปโดยพลการ ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ด้วย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 3 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3696/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องฎีกา การรับผิดของจำเลยที่ 4 และผู้รับประกันภัยเมื่อศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อ โจทก์ฎีกา แต่ในชั้นฎีกาโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยดังกล่าวไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ไว้จากจำเลยที่ 1จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเมื่อผู้เอาประกันภัยคือจำเลยที่ 1จะต้องรับผิด ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์จำเลยที่ 3 จึงได้รับประโยชน์โดยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1365/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่า จำเลยที่ 4 พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ยกฟ้อง
แม้คดีในส่วนแพ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้กระทำความผิด ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ต้องรับฟังว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม จึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ยกคำขอดังกล่าว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46