พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2847/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกประเด็น: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นความประมาท ทั้งที่จำเลยไม่ได้ต่อสู้ ศาลฎีกายกคำพิพากษา
ตามคำฟ้องและคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทมีเพียงประการเดียวว่าจำเลยทั้งสามเป็นนายจ้าง ตัวการ ผู้ใช้ หรือ ผู้ว่าจ้างวาน ส.หรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าความประมาทเกิดจาก ส.ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ จำเลยทั้งสามไม่ได้ให้การ ต่อสู้ไว้ ต้องฟังว่า ส. เป็นฝ่ายประมาทและเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ประกอบกับ มาตรา 84 (1) การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาวินิจฉัยอีก เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 246
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ส่งผลต่อการฟ้องบังคับคดี แม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้
ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
คำว่า "คดีแพ่ง" ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หมายถึงคดีแพ่งทั่วไปไม่เฉพาะแต่คดีตามประมวลรัษฎากรเท่านั้น
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่ากู้เงินกันจำนวน 32,072 บาท เมื่อปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เท่ากับว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมาแสดงต่อศาลตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคแรก จึงฟ้องร้องบังคับคดีจำเลยทั้งสองไม่ได้ แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินปิดอากรแสตม์ไม่บริบูรณ์ก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาล-อุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246
คำว่า "คดีแพ่ง" ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หมายถึงคดีแพ่งทั่วไปไม่เฉพาะแต่คดีตามประมวลรัษฎากรเท่านั้น
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่ากู้เงินกันจำนวน 32,072 บาท เมื่อปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้เท่ากับว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือมาแสดงต่อศาลตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคแรก จึงฟ้องร้องบังคับคดีจำเลยทั้งสองไม่ได้ แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า หนังสือสัญญากู้ยืมเงินปิดอากรแสตม์ไม่บริบูรณ์ก็ตาม แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาล-อุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1994/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุม การเพิกถอนนิติกรรมจำนอง จำเลยไม่ต่อสู้ ศาลต้องวินิจฉัยตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำฟ้องของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ที่จำเลยที่ 1 ยกให้ไปจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 3 โดยจงใจนิ่งเฉยเสียไม่ไขข้อความจริงที่จำเลยที่ 1เป็นลูกหนี้โจทก์ และใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นหลักประกันไว้ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองนั้น ข้ออ้างที่โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง โจทก์บรรยายฟ้องเฉพาะการกระทำของจำเลยที่ 2 แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ หรือโจทก์มีสิทธิอย่างใดในอันที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับจำนองได้ คำฟ้องโจทก์เฉพาะส่วนที่กล่าวจึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะทำให้จำเลยที่ 3 เข้าใจและต่อสู้คดีได้โดยถูกต้อง คำฟ้องของโจทก์เฉพาะส่วนนี้จึงเคลือบคลุม แต่คำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นที่ว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไป40,000 บาท และนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4754 ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ไปให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ต่อมาโจทก์คิดว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์หายได้ให้จำเลยที่ 1 ไปขอออกใบแทน แต่จำเลยที่ 1 กลับนำใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีค่าตอบแทน นิติกรรมยกให้จึงเป็นโมฆะนั้น จำเลยทั้งสามหาได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมด้วยไม่ และในปัญหาที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ มิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยทั้งสามมิได้ต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ศาลย่อมไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลฟ้องบังคับจำนอง: ศาลฎีกาตัดสินอัตราค่าขึ้นศาลที่ถูกต้องเมื่อจำเลยไม่ต่อสู้คดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา289 คำร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองด้วย เมื่อจำเลยผู้จำนองไม่ให้การต่อสู้คดีหรือคัดค้าน ผู้ร้องก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ (1) (ค) ในอัตราร้อยละหนึ่ง แต่ไม่เกินหนึ่งแสน บาทแม้โจทก์จะได้ยื่นคำคัดค้านก็ถือว่าเป็นการโต้แย้งในชั้นบังคับคดีเท่านั้น ไม่ใช่ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับจำนองโดยตรงและถือไม่ได้ว่าคำคัดค้านเป็นคำให้การต่อสู้คดีแทนจำเลยตามความหมายของตาราง 1 ค่าขึ้นศาล แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลคำฟ้องบังคับจำนอง: ศาลฎีกาวินิจฉัยอัตราค่าขึ้นศาลที่ถูกต้องเมื่อจำเลยไม่ต่อสู้คดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา289 คำร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองด้วย เมื่อจำเลยผู้จำนองไม่ให้การต่อสู้คดีหรือคัดค้าน ผู้ร้องก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ (1)(ค) ในอัตราร้อยละหนึ่ง แต่ไม่เกินหนึ่งแสน บาทแม้โจทก์จะได้ยื่นคำคัดค้านก็ถือว่าเป็นการโต้แย้งในชั้นบังคับคดีเท่านั้น ไม่ใช่ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับจำนองโดยตรงและถือไม่ได้ว่าคำคัดค้านเป็นคำให้การต่อสู้คดีแทนจำเลยตามความหมายของตาราง 1 ค่าขึ้นศาล แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองสัญญาและการพิพากษาค่าจ้างโดยไม่ต้องสืบพยานเมื่อจำเลยไม่ต่อสู้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างดำเนินงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาจ้าง โจทก์กำหนดอัตราค่าจ้างไว้จริง ไม่ได้ยกข้อต่อสู้อื่นอีกแต่ประการใด เช่นนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างนี้ได้เลยโดยไม่ต้องสืบพยานหรือวินิจฉัยประการใดอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การนำสืบของโจทก์: หากสืบได้ความว่ามีการซื้อขายเด็ดขาด โจทก์ย่อมแพ้คดี แม้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินมือเปล่าที่จำเลยครอบครองว่าเป็นของโจทก์นั้น เมื่อจำเลยปฏิเสธและอ้างสิทธิว่าครอบครองเป็นเจ้าของ โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้สมฟ้อง ถ้าสืบไม่สมคือการนำสืบของโจทก์กลับได้ความว่า โจทก์ขายที่ดินนั้นแก่จำเลยเป็นการซื้อขายเด็ดขาดไปแล้ว เช่นนี้ แม้จำเลยมิได้ยกข้อที่ซื้อขายเด็ดขาดแล้วขึ้นต่อสู้โจทก์ก็ต้องแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4952/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่ต่อสู้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมิได้ ศาลฎีกาพิพากษากลับ
คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง การบรรยายฟ้องจึงต้องให้ได้ความว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งพร้อมข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ หากจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายยื่นคำให้การต่อสู้คดีเห็นว่าคำฟ้องบกพร่องตรงไหน อย่างไร ก็จะต้องให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่าคำฟ้องนั้นเคลือบคลุม ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันที่จำเลยรับประกันภัย และมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าผู้ขับรถยนต์บรรทุกมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของผู้ขับรถยนต์บรรทุก คำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยว่าเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมนั่นเอง แต่ปัญหาว่าคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองไม่ หากแต่จำเลยจะต้องยกขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้งเป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ซึ่งจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกขึ้นวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบ