พบผลลัพธ์ทั้งหมด 36 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4259/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ่ายเงินให้ทนายความเพื่อวิ่งเต้นคดี ถือเป็นการให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจ ให้กระทำการมิชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน
เงินที่โจทก์ให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความนำไปใช้ในการวิ่งเต้นคดี คือนำไปให้ผู้พิพากษาเพื่อจูงใจให้ผู้พิพากษาตัดสินยกฟ้องปล่อยตัวโจทก์ เป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ อันเป็นการผิดกฎหมายฐานให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินนั้นคืนจากจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจูงใจเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความเท็จ ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 เนื่องจากหน้าที่เบิกความเป็นหน้าที่ทั่วไป
การที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมผู้กระทำความผิดมีหน้าต้องเบิกความต่อศาลตามความสัจจริงในระหว่างเป็นพยานในคดีที่ผู้กระทำความผิดถูกฟ้องนั้น เป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากที่เป็นเจ้าพนักงานผู้จับกุมผู้กระทำความผิดไม่ หน้าที่ที่ต้องเบิกความตามความสัจจริงจึงไม่เป็นการกระทำการในหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ แม้จำเลยทั้งสามจะให้และรับว่าจะให้เงินแก่เจ้าพนักตำรวจเพื่อจูงใจให้เบิกความผิดไปจากความจริง ก็ไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 144
ส่วนของกลางนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิด จึงต้องคืนของกลางแก่เจ้าของ ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ส่วนของกลางนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิด จึงต้องคืนของกลางแก่เจ้าของ ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ไม่ได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจูงใจเจ้าพนักงานเบิกความเท็จไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 หากหน้าที่เบิกความเป็นหน้าที่พลเมืองทั่วไป
การที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมผู้กระทำผิดมีหน้าที่ต้องเบิกความต่อศาลตามความสัจจริงในระหว่างเป็นพยานในคดีที่ผู้กระทำความผิดถูกฟ้อง เป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไปหาใช่เป็นหน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากที่เป็นเจ้าพนักงานผู้จับกุมผู้กระทำความผิดไม่ หน้าที่ที่ต้องเบิกความตามความสัจจริงจึงไม่เป็นการกระทำการในหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ แม้จำเลยจะให้และรับว่าจะให้เงินแก่ร้อยตำรวจโท ท. กับพวก เพื่อจูงใจเจ้าพนักงานดังกล่าวเบิกความผิดไปจากความจริง ก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานที่เบิกความจากการถูกจูงใจด้วยคำมั่นสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่น่าเชื่อถือตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ส. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง โดยตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจาก ส. แล้ว เจ้าพนักงานตำรวจเสนอว่า หาก ส. ไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้จำหน่ายให้ก็จะไม่ดำเนินคดี ส. จึงไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย การที่ ส. มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ จึงเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจและให้คำมั่นสัญญาโดยมิชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ รับฟังเป็นพยานไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226 (เหตุเกิดวันที่ 3 เมษายน 2540)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์ด้วยการขู่เข็ญด้วยอาวุธและใช้กำลัง ผู้กระทำผิดอ้างเหตุจูงใจไม่มีผลต่อความผิด
จำเลยกับพวกอีก 1 คน พูดขอเสื้อช๊อปที่ผู้เสียหายสวมใส่อยู่ผู้เสียหายไม่ยอมจำเลยล้วงมีดคัทเตอร์ของกลางจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังผู้เสียหายจับมือจำเลยข้างที่ถือมีดจึงถูกพวกของจำเลยชกที่แก้ม จำเลยเก็บมีดและชกผู้เสียหายที่ปาก ผู้เสียหายยอมถอดเสื้อช๊อปให้จำเลยตามพฤติการณ์ที่จำเลยจับเสื้อช๊อปของผู้เสียหายไว้ขณะที่พูดขอเสื้อ ครั้นถูกปฏิเสธจำเลยจึงล้วงมีดคัทเตอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เมื่อผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยต่อย จำเลยก็เข้าชกต่อยผู้เสียหายจนกระทั่งได้เสื้อช๊อปของผู้เสียหายมาเช่นนี้ เข้าลักษณะเป็นการคุกคามขู่เข็ญให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่กายหากผู้เสียหายไม่ยอมตามที่จำเลยต้องการ ผู้เสียหายถอดเสื้อช๊อปให้จำเลยเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกทำร้ายอีก จึงมิใช่การให้ทรัพย์ด้วยความสมัครใจ แต่เป็นไปเพราะอยู่ใต้อำนาจบังคับของจำเลย จำเลยได้ไปซึ่งเสื้อช๊อปของผู้เสียหายแล้วจึงหยุดขู่เข็ญพร้อมกลับลงจากรถโดยสารคันเกิดเหตุ เป็นเครื่องแสดงเจตนาว่าจำเลยประสงค์ต่อทรัพย์คือเสื้อช๊อปเป็นสำคัญจำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 83 ที่จำเลยอ้างว่าได้กระทำไปเพราะเป็นการแสดงความกล้าให้รุ่นพี่ของจำเลยเห็นว่าจำเลยมีความสามารถ จึงเป็นเพียงมูลเหตุจูงใจที่ชักนำให้จำเลยตัดสินใจกระทำความผิดนั้น ไม่มีผลให้จำเลยพ้นจากความรับผิดไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6965/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การของผู้ต้องหาที่ไม่เป็นจำเลย: ศาลรับฟังได้หากมีเหตุผลและไม่มีจูงใจ
แม้คำให้การชั้นจับกุมของ ฉ. ซึ่งมิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีนี้ด้วยจะมีลักษณะเป็นคำซัดทอดในระหว่างผู้ต้องหาด้วยกันก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายห้ามมิให้รับฟังคำให้การเช่นว่านี้เสียทีเดียว หากการซัดทอดมีเหตุผลรับฟังได้ศาลก็มีอำนาจรับฟังมาประกอบการพิจารณาได้
การที่ ฉ.เบิกความในชั้นพิจารณาของศาลมิใช่เป็นคำซัดทอดเพราะ ฉ.มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย และ ฉ.ยังยืนยันข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ได้ให้การไว้ในชั้นถูกจับกุม ทั้งคำเบิกความของ ฉ.ไม่ปรากฏว่ามีเหตุจูงใจในการเบิกความให้ตนพ้นความผิดหรือได้รับประโยชน์แต่อย่างใด จึงรับฟังคำเบิกความดังกล่าวของ ฉ.ด้วยความระมัดระวังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
การที่ ฉ.เบิกความในชั้นพิจารณาของศาลมิใช่เป็นคำซัดทอดเพราะ ฉ.มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย และ ฉ.ยังยืนยันข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ได้ให้การไว้ในชั้นถูกจับกุม ทั้งคำเบิกความของ ฉ.ไม่ปรากฏว่ามีเหตุจูงใจในการเบิกความให้ตนพ้นความผิดหรือได้รับประโยชน์แต่อย่างใด จึงรับฟังคำเบิกความดังกล่าวของ ฉ.ด้วยความระมัดระวังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจค้นจับกุมและการได้มาซึ่งของกลางโดยชอบด้วยกฎหมาย การจูงใจเพื่อลดโทษไม่ถึงขั้นสัญญา
เจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นจับกุมจำเลยได้บอกจำเลยว่า หากมีเมทแอมเฟตามีนอยู่อีกให้นำมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจ จะได้รับโทษเบาลงและได้เกลี้ยกล่อมจำเลยว่าหากมีสิ่งผิดกฎหมายก็ให้เอาออกมาเสีย จากนั้นจำเลยได้พาไปที่ต้นมะขามล้วงเข้าไปในโพรงต้นมะขาม นำถุงพลาสติกบรรจุเม็ดยามาให้ ดังนี้เป็นการพูดในขณะที่ปฏิบัติการตรวจค้นเพื่อให้ได้มาซึ่งของผิดกฎหมายที่อยู่ในครอบครองของจำเลย แม้คำพูดนั้นจะเป็นการพูดจูงใจในทำนองว่าจำเลยจะได้รับโทษเบาลง ก็ไม่ถึงขั้นให้สัญญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135 มิใช่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5251/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยมีเหตุจูงใจจากความขัดแย้งส่วนตัว มิอาจอ้างป้องกันตนเองได้
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 7 วัน โจทก์ร่วมได้ไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านว่าสามีจำเลยใช้ไม้ปาถูกบ้านของโจทก์ร่วม ทำให้จำเลยไม่พอใจ เมื่อจำเลยพบโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุแล้วถามโจทก์ร่วมได้รับคำยืนยันว่าไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านจริงจำเลยโกรธแค้นโจทก์ร่วมและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมทันที จำเลยจึงเป็นฝ่ายก่อเหตุและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมแต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยจึงอ้างป้องกันมิได้
ตามสภาพบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับนั้น โจทก์ร่วมต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 30 วัน เมื่อบาดแผลหายแล้วปรากฏรอยแหว่งที่ปีกจมูกด้านซ้ายเป็นแผลเป็นติดตัว ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส
ตามสภาพบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับนั้น โจทก์ร่วมต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 30 วัน เมื่อบาดแผลหายแล้วปรากฏรอยแหว่งที่ปีกจมูกด้านซ้ายเป็นแผลเป็นติดตัว ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3312/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ไม่สมัครใจ: ผลของการจูงใจจากเจ้าพนักงาน
คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยมีลักษณะเป็นคำรับซึ่งเกิดจากการจูงใจของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3312/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่เกิดจากการจูงใจของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นคำรับที่ไม่สมัครใจ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยมีลักษณะเป็นคำรับซึ่งเกิดจากการจูงใจของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ