คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จ้างทำของ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 63 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8604/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดสัญญาซื้อขาย/จ้างทำของ กรณีสินค้ามีตำหนิ แม้รับมอบไปแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องโดยแนบสำเนาใบสั่งซื้อและใบส่งของเพื่อประกอบข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ซึ่งจำเลยก็ให้การยอมรับเพียงแต่ต่อสู้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยไม่ถูกต้อง ฉะนั้นแม้โจทก์อ้างในคำฟ้องว่าเป็นเรื่องซื้อขายศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นเรื่องทั้งซื้อขายและจ้างทำของ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าเป็นเรื่องจ้างทำของ เช่นนี้ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาเนื้อหาแห่งคำฟ้องประกอบทางนำสืบของคู่ความแล้วปรับบทกฎหมายเองตามที่ได้ความได้ ไม่จำต้องยึดถือหัวข้อที่โจทก์ระบุในคำฟ้องเป็นสำคัญ จึงมิใช่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นอันเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
สิ่งของบางส่วนในจำนวนทั้งหมดที่โจทก์ส่งมอบให้แก่จำเลยตามสัญญามีความชำรุดบกพร่องและไม่ถูกต้องตามสัญญา แม้จำเลยจะรับมอบสิ่งของจากโจทก์ซึ่งมีจำนวนมากถึง 8,988 ใบแต่ก็เป็นการรับมอบในลักษณะเป็นแผ่นกระดาษซึ่งจำเลยจะต้องนำมาพับเป็นกล่องเอง เมื่อสิ่งของมีจำนวนมากถึง 1 คันรถบรรทุก ความชำรุดบกพร่องนั้นจึงไม่อาจพึงพบได้ในขณะเมื่อจำเลยรับมอบอันจะถือว่าจำเลยยอมรับมอบการที่ทำจากโจทก์แล้วโดยมิได้อิดเอื้อนหาได้ไม่ หากจำเลยนำกล่องกระดาษที่มีคุณลักษณะและสภาพไม่สมบูรณ์เช่นนั้นไปใช้แม้เพียงบางส่วนก็ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือในสินค้าของจำเลยต่อไปได้ จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญาที่ได้ตกลงไว้กับจำเลย และจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องทั้งสิ้น โดยมิพักต้องคำนึงถึงว่าจำเลยยังสามารถนำกล่องกระดาษที่สั่งซื้อหรือว่าจ้างให้โจทก์นำไปใช้บรรจุสินค้าของจำเลยได้โดยทำให้มีความแน่นหน้าเพิ่มด้วยการติดเทปกาวอันจะถือได้ว่าสิ่งของหรือการงานบางส่วนตามที่จำเลยว่าจ้างยังคงใช้งานได้เป็นประโยชน์แก่จำเลย กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 606 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6053/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้จากจ้างทำของเป็นกู้ยืม ทำให้สิทธิเรียกร้องระงับ โอนสิทธิไม่ได้
การที่จำเลยว่าจ้าง น. ให้เป็นตัวแทนเรียกค่าเสียหายจาก ก. โดยจำเลยทำเป็นสัญญากู้เงิน น. ไว้ เท่ากับว่ามีการแปลงหนี้ใหม่จากหนี้จ้างทำของมาเป็นหนี้เงินกู้ หนี้จ้างทำของจึงระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญากู้เงินกับ น. ก่อน น. โอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ หนี้ตามสัญญากู้เงินจึงระงับ น. ไม่อาจโอนสิทธิเรียกร้องที่โจทก์ยืนยันมาในคำฟ้องว่าระงับไปแล้วให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำสัญญากู้เงินดังกล่าวมาฟ้องบังคับจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681-1683/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของ vs. จ้างแรงงาน, การหักกลบลบหนี้ภาษีหัก ณ ที่จ่ายกับค่าจ้างค้างจ่าย
สัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาที่จำเลยที่ ตกลงให้โจทก์ที่ 3 ดำเนินการเกี่ยวกับการดัดแปลงอพาร์ตเม้นต์เป็นโรงแรม จัดหาบุคลากรที่เหมาะสมมาทำงานที่โรงแรม และวางแผนการตลาดให้โรงแรมมีกำไร เป็นการทำการอย่างใดอย่างหนึ่งจนสำเร็จ โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายเงินค่าตอบแทนในผลสำเร็จของงานที่ทำเดือนละ 140,000 บาท แม้โจทก์ที่ 3 ได้เข้าทำงานทุกวันคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ตั้งแต่เวลา 8.30 ถึง 17.00 นาฬิกาก็มิใช่เป็นการทำงานตามที่จำเลยที่ 1 กำหนด แต่เป็นการเข้าไปทำงานยังสถานที่ที่จำเลยที่ 1 จัดหาไว้ตามสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษา และไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 3 ต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมิใช่สัญญาจ้างแรงงานแต่เป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างผู้จ่ายค่าจ้างอันเป็นเงินได้พึงประเมินตาม ป.รัษฎษกร มาตรา 40 (1) ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้าง จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ทุกครั้งตามจำนวนที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑ์ของมาตรา 50 (1) แล้วนำส่งกรมสรรพากรภายใน 7 วัน นับแต่วันที่จ่ายเงินตามมาตรา 52 หากนายจ้างมิได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ หรือหักไม่ครบ หรือไม่นำส่งในจำนวนที่ถูกต้อง นายจ้างต้องรับผิดจ่ายเงินภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย พร้อมดอกเบี้ยปรับและเงินเพิ่มร่วมกับลูกจ้างผู้มีเงินได้เมื่อจำเลยที่ 1 ได้จ่ายภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายย้อนหลังตามจำนวนที่ต้องจ่ายสำหรับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ให้แก่กรมสรรพากรไปแล้วจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่จ้ายแทนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไปคืนจากโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้ และสามารถหักจากค่าจ้างของลูกจ้างเพื่อชำระค่าภาษีเงินได้ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 76 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128-1129/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักษณะสัญญาจ้างแรงงาน vs. จ้างทำของ: สิทธิเรียกร้องของลูกจ้าง
จำเลยประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวจัดให้มีการท่องเที่ยวทางเรือสำราญ เมื่อมีลูกค้าจะลงท่องเที่ยวเรือสำราญจำเลยจะแจ้งโจทก์ทราบโจทก์มีสิทธิที่จะให้บริการหรือปฏิเสธที่จะไม่ให้บริการแก่ลูกค้าได้หากโจทก์รับให้บริการแก่ลูกค้าบนเรือสำราญจะได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน เมื่อเรือสำราญต้องเข้าฝั่งโจทก์จะหมดหน้าที่เป็นคราวไปการจ้างงานระหว่างโจทก์กับจำเลยมุ่งถึงผลสำเร็จของงานเป็นสำคัญ ไม่ใช่การจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 แต่เป็นการจ้างทำของตามมาตรา 587โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมทำงาน เพราะเมื่อมีลูกค้าลงเรือสำราญจำเลยจะแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าถือเป็นวันทำงานปกติ เป็นการกำหนดวันทำงานในรอบสัปดาห์ไม่ใช่เป็นงานที่หมดหน้าที่เป็นคราว ๆ ไปและไม่ได้มุ่งถึงความสำเร็จของงาน อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยโดยได้รับค่าจ้างเป็นรายวัน ถือได้ว่าโจทก์ทำงานให้จำเลยเพื่อรับค่าจ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นการจ้างแรงงาน เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่างไปจากศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่า สัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงาน ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5874/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดประเภทธุรกรรมเป็น 'จ้างทำของ' ไม่ใช่ 'ซื้อขาย' และผลกระทบต่อการเสียอากรแสตมป์
โจทก์ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์โดยในการผลิตชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์ดังกล่าว โจทก์ต้องผลิตตามแบบแม่พิมพ์ที่ทางบริษัท ซ. ซึ่งถือหุ้นในบริษัทโจทก์ร้อยละเก้าสิบห้ากำหนดขึ้น เป็นการผลิตตามแบบรูปทรงและขนาดที่บริษัท ซ. ต้องการและกำหนดให้โจทก์ทำขึ้น โจทก์ต้องผลิตให้แล้วเสร็จตามที่บริษัท ซ. ต้องการโดยมิได้ตีตราหรือยี่ห้อของโจทก์ไว้และโจทก์มิได้นำออกจำหน่ายแก่ลูกค้าทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีพิพาท โจทก์ได้จดทะเบียนการค้าประเภทการรับจ้างหล่อโลหะ (ชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์ (ไม่สำเร็จรูป) และเหล็กหล่ออื่น ๆ ) เท่านั้น เมื่อโจทก์ผลิตชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์เสร็จและส่งมอบให้บริษัท ซ. โจทก์จะระบุถึงรายละเอียดในการส่งของไว้ตามเอกสารว่าเป็นใบส่งของ และระบุไว้ด้วยว่าส่งตามใบจ้างทำของของบริษัท ซ. พฤติการณ์ต่าง ๆ เห็นได้ชัดว่าการประกอบกิจการของโจทก์เป็นการรับจ้างทำของ ไม่ใช่เป็นเรื่องการซื้อขายดังที่โจทก์อุทธรณ์
ป. รัษฎากร มาตรา 103 บัญญัติว่า "ตราสาร" หมายความว่าเอกสารที่ต้องเสียอากรตามหมวดนี้ และมาตรา 104 บัญญัติว่า ตราสารที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายหมวดนี้ ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีนั้น ซึ่งตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ข้อ 4 ได้บัญญัติลักษณะแห่งตราสาร จ้างทำของ ต้องเสียค่าอากรแสตมป์ 1 บาท ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท แห่งสินจ้างที่กำหนดไว้ด้วย เอกสารที่บริษัท ซ. มีถึงโจทก์จำนวน 467 ฉบับนั้น มีเพียงพนักงานของบริษัท ซ. ลงลายมือชื่อสั่งจ้างโจทก์ให้ผลิตชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์ส่งให้แก่บริษัท ซ. เท่านั้น โดยไม่มีการลงลายมือชื่อโจทก์หรือพนักงานของโจทก์เป็นผู้รับจ้างแต่อย่างใด เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเพียงหลักฐานแห่งการว่าจ้างทำของที่ทำเป็นหนังสือ มิใช่เป็นหนังสือสัญญาว่าจ้างทำของระหว่างโจทก์กับบริษัท ซ. อันจะถือเป็นตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายของมาตรา 103 และ 104 แห่ง ป. รัษฎากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3686/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาจ้างและสิทธิในการริบหลักประกัน กรณีลูกหนี้ไม่เริ่มทำงานตามสัญญา
ลูกหนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ส่งมอบหินคลุกให้แก่เจ้าหนี้เลย เจ้าหนี้จึงบอกเลิกสัญญา ดังนี้เจ้าหนี้คงมีสิทธิ ริบหลักประกันและเรียกค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้ตามสัญญาข้อ 20 เท่านั้น หาใช่กรณีลูกหนี้ทำงานตามสัญญาแล้ว ส่งมอบงานล่าช้าที่เจ้าหนี้จะมีสิทธิปรับเป็นรายวันได้ตามสัญญาข้อ 19 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยจากซื้อขาย/จ้างทำของ ไม่ขัดกฎหมายจำกัดดอกเบี้ย
แม้จำนวนเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดจะเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงินตามเช็คที่จำเลยค้างชำระโจทก์แต่เงินจำนวนนี้ก็เป็นดอกเบี้ยที่คิดจากมูลหนี้เดิมที่เกิดจากการซื้อขายและค่าจ้างทำของที่ให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวได้ตามสัญญา มิใช่มูลหนี้เดิมมาจากการกู้ยืมเงินจึงไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้โจทก์เรียกหรือคิดดอกเบี้ยเกินกว่าในอัตราร้อยละ15 ต่อปี โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้ตามที่จำเลยตกลงจะชำระให้แก่โจทก์ ดอกเบี้ยดังกล่าวหาตกเป็นโมฆะเพราะโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยจากสัญญาซื้อขายและจ้างทำของ ไม่ขัดต่อข้อจำกัดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย
แม้จำนวนเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดจะเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงินตามเช็คที่จำเลยค้างชำระโจทก์แต่เงินจำนวนนี้ก็เป็นดอกเบี้ยที่คิดจากมูลหนี้เดิมที่เกิดจากการซื้อขายและค่าจ้างทำของที่ให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวได้ตามสัญญา มิใช่มูลหนี้เดิมมาจากการกู้ยืมเงินจึงไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้โจทก์เรียกหรือคิดดอกเบี้ยเกินกว่าในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้ตามที่จำเลยตกลงจะชำระให้แก่โจทก์ ดอกเบี้ยดังกล่าวหาตกเป็นโมฆะเพราะโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4450/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขาย-จ้างทำของ: การตีความเจตนาของคู่สัญญาและการชำระภาษี
การตีความในสัญญาจะต้องพิจารณาถึงเจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาประกอบกับถ้อยคำสำนวนในสัญญาด้วย แม้ตามสัญญาระบุว่าเป็นสัญญาซื้อขายเครื่องชุมสายโทรศัพท์และอุปกรณ์พร้อมทั้งการติดตั้ง แต่ในตัวสัญญามิได้ระบุค่าเครื่องชุมสายโทรศัพท์และอุปกรณ์ประกอบแยกออกต่างหากจากราคาค่าแรงงานติดตั้ง และให้ถือว่าภาคผนวกแนบท้ายสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาและได้กำหนดรายละเอียดราคาไว้ในภาคผนวกแล้ว แสดงว่าคู่สัญญาซื้อขายมีเจตนาที่จะแยกค่าเครื่องชุมสายโทรศัพท์ออกต่างหากจากค่าแรงงานติดตั้งและค่าฝึกอบรมตั้งแต่การกำหนดราคาและการชำระราคา สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับซอฟท์แวร์เป็นคนละประเภทกับกรรมสิทธิ์ในเครื่องชุมสายโทรศัพท์ กรรมสิทธิ์ในเครื่องชุมสายโทรศัพท์เป็นทรัพย์สิทธิซึ่งมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นตัวทรัพย์ ส่วนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาวัตถุแห่งสิทธิเป็นสิทธิเด็ดขาดของผู้สร้างสรรค์ที่จะหวงกันมิให้ผู้อื่นเข้าใช้สิทธิที่เจ้าของงานสร้างสรรค์ หรือเจ้าของสิทธิมีอยู่แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเครื่องชุมสายโทรศัพท์กับซอฟท์แวร์ซึ่งเป็นชุดคำสั่งที่ใช้กับเครื่องชุมสายโทรศัพท์สามารถทำงานได้ตามโปรแกรมที่กำหนดไว้อาจเป็นคนละคนกันก็ได้ การที่คู่สัญญาได้แยกราคาค่าเครื่องชุมสายโทรศัพท์ออกจากราคาค่าแรงงานติดตั้งและค่าฝึกอบรมอย่างชัดเจน แสดงว่าเจตนาทำสัญญาซื้อขายเครื่องชุมสายโทรศัพท์และอุปกรณ์ประกอบ กับสัญญาจ้างทำของคือติดตั้งเครื่องชุมสายโทรศัพท์แยกต่างหากจากกันเป็นสองลักษณะสัญญาในฉบับเดียวกันเมื่อโจทก์ได้ชำระภาษีการค้าในส่วนของสัญญาจ้างทำของ จำเลยจึงไม่มีอำนาจแจ้งให้โจทก์เสียภาษีการค้าอีก ตามประมวลรัษฎากร ฯ มาตรา 107 วรรคหนึ่ง ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรสามารถตกลงกับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่มีหน้าที่เสียอากรให้เสียอากรแทนตนได้ แม้กฎหมายจะบัญญัติให้คู่สัญญาตกลงกันให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียอากรได้ แต่ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งรับที่จะเสียอากรตามสัญญาไม่ยอมเสียอากรโดยปิดแสตมป์ในตราสารหรือในสัญญาจำเลยก็ยังคงมีอำนาจประเมินเรียกเก็บค่าอากรและค่าเพิ่มอากรจากผู้มีหน้าที่ต้องเสียอากรตามประมวลรัษฎากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 163/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ้างทำของ vs. ซื้อขาย: หน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ยกเลิกการประเมิน และของดหรือลดเบี้ยปรับโดยให้เหตุผลว่า ในการตรวจสอบของเจ้าพนักงานประเมินกระทำไปโดยถือความเข้าใจและความรู้สึกของตนเองเป็นเกณฑ์ หากมีกรณีความเห็นไม่ตรงกันก็จะใช้คำถามนำ และใช้คำพูดในเชิงใช้อำนาจอันเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบของกรมสรรพากร พร้อมทั้งโจทก์ได้ยื่นหนังสือแจ้งการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินมาพร้อมด้วย คำอุทธรณ์ของโจทก์เช่นนี้เป็นการโต้แย้งการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินแล้ว
โจทก์เป็นผู้ว่าจ้างสั่งให้โรงงานผู้รับจ้างผลิตรองเท้าตามที่โจทก์กำหนด กรณีจึงเป็นเรื่องจ้างทำของ หาใช่เป็นเรื่องซื้อขายไม่ โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ให้แก่โรงงานผลิตรองเท้าผู้รับ และนำส่งไว้ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่ง ป.รัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณที่จ่าย ข้อ 8
of 7