พบผลลัพธ์ทั้งหมด 21 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6555/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอรื้อฟื้นคดีอาญาต้องมีพยานหลักฐานใหม่ที่ชัดแจ้งและสำคัญ มิใช่พยานหลักฐานที่มีอยู่แล้ว
คำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่า คำเบิกความของพยานบุคคลโจทก์ 4 ปาก ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการพิพากษาลงโทษผู้ร้องทั้งสี่เป็นคำเบิกความเท็จ ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง โดยไม่ปรากฏว่าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานดังกล่าวเป็นเท็จ หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริงแต่อย่างใด ทั้งปรากฏในคำฟ้องฎีกาว่าผู้ร้องทั้งสี่เพิ่งจะยื่นฟ้องพยานโจทก์ดังกล่าว 1 ปาก เป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาเบิกความเท็จ แจ้งความเท็จ นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จภายหลังจากที่ผู้ร้องทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องนี้แล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วย พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 (1)
ส่วนที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบแล้วจะแสดงว่าผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด ก็ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ว่าพยานบุคคลที่ผู้ร้องอ้างปากหนึ่งเคยเบิกความเป็นพยานจำเลยในคดีนี้ไว้แล้ว ส่วนพยานปากอื่นล้วนเป็นบุคคลที่ผู้ร้องทั้งสี่รู้จักคุ้นเคยเพราะเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทผู้เสียหายเช่นเดียวกับผู้ร้องทั้งสี่บ้าง เป็นญาติพี่น้องกับผู้ร้องทั้งสี่บ้าง และเป็นเพื่อนบ้านของผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งอยู่กับผู้ร้องทั้งสี่ในขณะเกิดเหตุบ้าง และพยานเอกสารที่ผู้ร้องอ้างก็เป็นเพียงบันทึกความเห็นและข้อที่พยานดังกล่าวจะมาเบิกความ พยานหลักฐานที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างตามคำร้องจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนและผู้ร้องทั้งสี่ทราบดีอยู่แล้ว ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีที่ผู้ร้องทั้งสี่จะอ้างมาเป็นเหตุขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 (3) ได้ คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีมูล ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องไต่สวน
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่โดยไม่ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งเพราะอำนาจในการมีคำสั่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้นจะเป็นการไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 10 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งใหม่
ส่วนที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบแล้วจะแสดงว่าผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด ก็ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ว่าพยานบุคคลที่ผู้ร้องอ้างปากหนึ่งเคยเบิกความเป็นพยานจำเลยในคดีนี้ไว้แล้ว ส่วนพยานปากอื่นล้วนเป็นบุคคลที่ผู้ร้องทั้งสี่รู้จักคุ้นเคยเพราะเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทผู้เสียหายเช่นเดียวกับผู้ร้องทั้งสี่บ้าง เป็นญาติพี่น้องกับผู้ร้องทั้งสี่บ้าง และเป็นเพื่อนบ้านของผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งอยู่กับผู้ร้องทั้งสี่ในขณะเกิดเหตุบ้าง และพยานเอกสารที่ผู้ร้องอ้างก็เป็นเพียงบันทึกความเห็นและข้อที่พยานดังกล่าวจะมาเบิกความ พยานหลักฐานที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างตามคำร้องจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนและผู้ร้องทั้งสี่ทราบดีอยู่แล้ว ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีที่ผู้ร้องทั้งสี่จะอ้างมาเป็นเหตุขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 (3) ได้ คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีมูล ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องไต่สวน
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่โดยไม่ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งเพราะอำนาจในการมีคำสั่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 1 และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้นจะเป็นการไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 10 แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3774/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดโดยชัดแจ้ง
ในคดีภาษีอากรคำขอให้พิจารณาใหม่นั้น คู่ความจะต้องกล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดประการหนึ่ง และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลอีกประการหนึ่ง โดยละเอียดและชัดแจ้งทั้ง 2 ประการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคท้าย ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวแต่เหตุที่จำเลยขาดนัดแต่เพียงประการเดียว การที่จำเลยกล่าวมาในคำขอแต่เพียงว่าหากจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง จำเลยจะต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีและมาศาลตามกำหนดนัด เพราะจำเลยมีทางชนะคดีโจทก์ได้อย่างแน่นอน ข้อความในคำขอดังกล่าวไม่ได้กล่าวแสดงเหตุโดยละเอียดและชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบ ที่ศาลภาษีอากรมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6611/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 และฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง
จำเลยที่ 2 ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าในส่วนของโจทก์ที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 48,662 บาททุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์สำหรับโจทก์ที่ 1 ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยในส่วนนี้ให้ก็เป็นการไม่ชอบ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในส่วนของโจทก์ที่ 1 ให้
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุม แต่จำเลยที่ 2ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุมเพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 48,662 บาท และให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 195,875 บาทรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 244,537 บาท จำเลยที่ 2 ฎีกาในทุนทรัพย์ 264,537บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินจำนวน 500 บาท แก่จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุม แต่จำเลยที่ 2ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุมเพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 48,662 บาท และให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 195,875 บาทรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 244,537 บาท จำเลยที่ 2 ฎีกาในทุนทรัพย์ 264,537บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินจำนวน 500 บาท แก่จำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์: การยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลาและการบรรยายคำร้องที่ชัดแจ้ง
ผู้ร้องได้บรรยายในคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ถึงสภาพแห่งข้อหาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาและไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้คงมีเฉพาะเงินที่โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับจากศาลซึ่งเป็นจำนวนเงินงวดสุดท้ายที่จำเลยมีสิทธิได้รับและเหลืออยู่เท่านั้นผู้ร้องจึงไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นๆของจำเลยได้อีกขอให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในเงินจำนวนดังกล่าวดังนี้คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่จำต้องบรรยายถึงรายละเอียดเรื่องวันเวลาที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โอนเงินที่ผู้ร้องอายัดไว้ชั่วคราวมายังคดีของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อใดไว้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนอยู่แล้วและคู่ความสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งตามคำร้องขอของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้อายัดเงินซึ่งธนาคารส่งมาตามหมายอายัดชั่วคราวของศาลเมื่อวันที่4มกราคม2533แต่ก็ยังไม่มีการชำระเงินตามคำสั่งดังกล่าวระยะเวลาสิบสี่วันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา290วรรคห้าจึงยังไม่เริ่มนับดังนั้นเมื่อผู้ร้องนำเงินมาชำระคืนตามคำสั่งศาลในวันที่31พฤษภาคม2533พร้อมกับยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จากเงินจำนวนดังกล่าวในวันเดียวกันจึงถือได้ว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา290วรรคห้าแล้วจึงเป็นการยื่นขอเฉลี่ยทรัพย์โดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6458/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การปฏิเสธฟ้องต้องชัดแจ้งมีเหตุผล การนำสืบในชั้นพิจารณาไม่ทำให้คำให้การไม่ชัดเจนเป็นคำให้การชัดเจนได้
จำเลยยื่นคำให้การว่า ขอให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์อย่างสิ้นเชิง คำฟ้องใดที่จำเลยไม่ได้ให้การรับไว้โดยชัดแจ้งให้ถือว่าจำเลยปฏิเสธเป็นการปฏิเสธลอย ๆ โดยไม่มีเหตุผลแห่งการปฏิเสธคำให้การของจำเลยจึงไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง การที่จำเลยมานำสืบข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาไม่ทำให้คำให้การที่ไม่ชัดแจ้งกลายเป็นคำให้การชัดแจ้งไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องอ้างเหตุคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาต้องมีลักษณะคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งจะต้องอ้างเหตุว่า การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงหรือไม่รับฟังข้อเท็จจริงดังนั้นชอบหรือไม่ เพราะเหตุใด ดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ตามที่โจทก์นำสืบแต่ไม่ได้อ้างเหตุว่าทำไมจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นนั้น และไม่ได้คัดค้านคำพิพากษา-ศาลอุทธรณ์ เพียงแต่กล่าวว่าโจทก์ร่วมไม่เห็นด้วยโดยไม่ได้อ้างเหตุและขอให้ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นพิจารณาอีกครั้ง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 216
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2045/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการบรรยายฟ้องชัดแจ้งในคดีกู้ยืมเงิน
สามีโจทก์เข้ารับดำเนินคดีแทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจ โดยลงลายมือชื่อเป็นผู้รับมอบอำนาจ และเป็นผู้ลงลายมือชื่อแต่งทนายโจทก์ให้ดำเนินคดี พฤติการณ์ดังกล่าวของสามีโจทก์แสดงให้เห็นว่าสามีโจทก์ยินยอมให้โจทก์ฟ้องคดีแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2524 จำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามสำเนาหนังสือกู้เงินเอกสารท้ายฟ้อง แม้ในสำเนาสัญญากู้เงินจะมีข้อความว่ากู้เงินไป พ.ศ. 24 ก็เป็นคำฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1108/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุขาดนัดและข้อคัดค้านคำพิพากษาอย่างชัดแจ้ง
คำขอให้พิจารณาใหม่นั้น คู่ความจะต้องกล่าวถึงเหตุที่ขาดนัดประการหนึ่งและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลอีกประการหนึ่งโดยละเอียดและชัดแจ้งทั้งสองประการ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสองคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 2 กล่าวแต่เหตุที่จำเลยที่ 2 ขาดนัดประการเดียว แล้วกล่าวว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 คงมีนิติสัมพันธ์กันเองโดยตรง โจทก์เติมข้อความในสัญญากู้ตามฟ้องเอง สัญญากู้จึงเป็นเอกสารสิทธิปลอม จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนแล้ว หากจำเลยที่ 2 ทราบคำฟ้องโจทก์และได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีจำเลยที่ 2 นำพยานหลักฐานมาสืบและมีโอกาสซักค้านพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 อาจชนะคดีได้นั้น เป็นข้ออ้างลอย ๆ ไม่ได้แสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไรคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ได้กล่าวโดยละเอียดและชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ดังนี้คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยมาตรา 208 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4015/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุคัดค้านคำพิพากษาชัดแจ้ง การอ้างเหตุลอยๆ หรือขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในคำฟ้อง ไม่เป็นเหตุให้พิจารณาใหม่
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 อ้างเหตุว่าอาจชนะคดีโจทก์เพราะโจทก์มิได้ฟ้องบังคับจำนอง จะต้องฟ้องที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุไว้ชัดแล้วว่าฟ้องบังคับจำนองด้วยจึงเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระ ส่วนคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ 2ที่ระบุว่า หากจำเลยที่ 2 มีโอกาสต่อสู้คดีแล้วจะต้องชนะคดีโจทก์แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนอง จำเลยที่ 2 ก็ไม่ควรต้องรับผิดเกินกว่า 600,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในสัญญาจำนอง ก็เป็นข้ออ้างลอย ๆ ไม่ได้แสดงเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งว่าคำพิพากษาไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไร คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองถือไม่ได้ว่าได้แสดงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยละเอียดชัดแจ้ง จึงเป็นคำขอที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง การโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อน
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวแต่ เพียงว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดย มิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนในข้อใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คำแถลงการณ์ประกอบฎีกาที่จำเลยยื่นต่อ ศาลฎีกา มิใช่ส่วนหนึ่งของฎีกา.