พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5521/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้เกี่ยวกับการขยายเวลาอุทธรณ์คดีภาษีอากร เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย และการพิจารณาเจตนาในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อยกเว้นภาษี
กำหนดเวลาให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วันตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) นั้น เป็นกำหนดเวลาให้ฟ้องคดี ถ้ามิได้ฟ้องภายในกำหนดเวลาย่อมไม่มีอำนาจฟ้องมิใช่เป็นอายุความในการเรียกร้องสิทธิใด ๆ และกำหนดเวลาเช่นว่านี้แม้ไม่ได้เป็นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 แต่ก็ถือว่าเป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจขยายหรือย่นระยะเวลาให้โจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบด้วยมาตรา 17 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ว่าการประเมินชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์จะต้องอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลา30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตาม ประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) ก็ตาม แต่ขณะที่โจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์นั้น ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จึงไม่อาจยื่นฟ้องจำเลยภายในกำหนดเวลาตาม มาตรา 30(2)ดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 17 อีกทั้งโจทก์ก็ยังไม่มีเหตุที่จะต้องใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลเพราะในขณะนั้นคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางที่วินิจฉัยว่าการประเมินไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ยังมีผลผูกพันคู่ความอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรกลางฯ มาตรา 17 พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่โจทก์ไม่อาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ต่อศาลก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลพึงขยายระยะเวลาให้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 17 จ. ซื้อที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2511 แล้วทิ้งไว้นานจนถึงปี 2523 จึงได้ขายไป รวมระยะเวลาถือครองมานานถึง 12 ปี โดยมิได้มีการพัฒนาปรับปรุงสภาพที่ดินให้ดีขึ้นเพื่อจะให้มีราคาสูงขึ้นและรีบขายไปภายในระยะเวลารวดเร็วเหตุที่ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวก็เพื่อหักหนี้ที่สามีของผู้ขายที่ดินค้างชำระอยู่ส่วนหนึ่งด้วยซึ่งถือว่าจ. จำเป็นต้องซื้อที่ดินแปลงนี้เพื่อมิให้หนี้ของตนต้องสูญเสียไปถือได้ว่า จ. ซื้อที่ดินแปลงนี้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แม้ว่าขณะขายที่ดินแปลงนี้ จ. จะมีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรก็ตาม จ. ก็ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินแปลงนี้มารวมคำนวณภาษีตาม มาตรา 42(9) ทั้งนี้เพราะต้องพิจารณาเจตนาของผู้ได้มาในขณะได้มาว่าเป็นการได้มาโดยมีเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ (วรรคหนึ่งและวรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2532)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้อง, การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้ทำตามกฎหมาย, และสิทธิของเจ้าหนี้ในการบังคับคดี
คดีไม่มีการชี้สองสถาน คู่ความมีสิทธิขอแก้ไขคำฟ้องหรือคำให้การได้ก่อนวันนัดสืบพยาน
คำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่งมี 2 ข้อ จำเลยฎีกาว่า คำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิขอมาในคดีนี้ และไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาว่าเป็นคำขอข้อใด ฎีกาดังนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลย่อมไม่วินิจฉัยให้
จำเลยที่ 1 ขายห้องแถวให้จำเลยที่ 3 โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ห้องแถวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีเอากับห้องแถวนั้นได้ ศาลจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า การซื้อขายนั้นเป็นการฉ้อฉลหรือไม่
คำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่งมี 2 ข้อ จำเลยฎีกาว่า คำขอท้ายฟ้องในส่วนแพ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิขอมาในคดีนี้ และไม่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาว่าเป็นคำขอข้อใด ฎีกาดังนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลย่อมไม่วินิจฉัยให้
จำเลยที่ 1 ขายห้องแถวให้จำเลยที่ 3 โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ห้องแถวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีเอากับห้องแถวนั้นได้ ศาลจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่า การซื้อขายนั้นเป็นการฉ้อฉลหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุริมสิทธิพิเศษซื้อขายอสังหาฯ ต้องจดทะเบียนและบอกราคาค้างชำระ จึงมีผลบังคับเหนือบุคคลภายนอก
บุริมสิทธิ์ในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ต้องเป็นการซื้อขายที่ลงทะเบียน และบอกลงทะเบียนไว้ด้วยว่าราคาหรือดอกเบี้ยในราคานั้นยังมิได้ชำระ