พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5449/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาขัดแย้งและข้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามฎีกาของโจทก์ตอนแรกโจทก์กล่าวมาในฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนอยู่ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่อีกตอนหนึ่งโจทก์กลับกล่าวเป็นทำนองเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสัญญาดังกล่าวถูกต้องเป็นสัญญาที่สมบูรณ์โดยชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงขัดแย้งกัน อีกทั้งมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าตีความสัญญาไม่ถูกต้องผิดจากที่คู่กรณีบ่งชี้ไว้อย่างไร และโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด ถือว่าเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์ได้มีสิทธิเข้าไปปรับปรุงทำถนนในที่พิพาทซึ่งยังค้างอยู่ต่อไปนั้น เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ คำขอตามฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อฎีกาของโจทก์ต้องห้ามดังวินิจฉัยมาปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่า โจทก์ได้ทำถนนเข้าไปในที่ดินพิพาทแล้วหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5450/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง กรณีจำเลยฎีกาขัดกับข้อเท็จจริงหลังศาลตัดสิน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ซึ่งมีเนื้อที่ 1 งาน 672/10 ตารางวา แต่ในชั้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองได้ความว่า โจทก์ได้จัดการแบ่งขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่นไปเกือบหมด คงเหลือที่ดินพิพาทเฉพาะที่ปลูกบ้านซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางวา แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่ แต่ที่ดินพิพาทไม่ปรากฏว่าเป็นที่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ได้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษอย่างใดเห็นได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา และยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่ได้มีการบังคับตามคำพิพากษา เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้รับประกันภัย: การฎีกาขัดแย้งกับคำให้การ
ปัญหาว่า จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ด้วยหรือไม่นั้น ปัญหาข้อนี้โจทก์มิได้ฎีกาและจำเลยที่ 2 ให้การว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่ได้ชำระเบี้ยประกันเพื่อต่ออายุสัญญาประกันภัยกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในคดีนี้ด้วยการที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันที่เกิดเหตุของจำเลยที่ 2 แล้ว จึงต้องร่วมรับผิดด้วยนั้น จึงเป็นฎีกาที่ขัดแย้งและนอกเหนือคำให้การของตน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้