พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5187/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา หากจำเลยมิได้ยกขึ้นในคำให้การและชั้นอุทธรณ์
แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้และโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่3โดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่เนื่องจากจำเลยที่1ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การและจำเลยที่2ได้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไว้ในชั้นอุทธรณ์แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่2ว่าจำเลยที่2มิได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาใสศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นเป็นการไม่ชอบอย่างไรคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมีผลเท่ากับว่าจำเลยที่2ไม่ได้อุทธรณ์ประเด็นที่ว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลและโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่3โดยคบคิดกันฉ้อฉลในชั้นอุทธรณ์ต้องถือว่าประเด็นข้างต้นที่จำเลยที่2ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกานั้นเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ขอบที่จะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาเนื่องจากฟ้องฎีกาไม่แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมถึงไม่ได้ยกประเด็นที่เคยว่ากันในศาลชั้นต้น
ฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ทั้งสอง มิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้องคำให้การและคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยบรรยายในฎีกาแต่เพียงว่าศาลอุทธรณ์พิจารณาและวินิจฉัยแล้วได้โปรดมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งเจ็ด 600 บาท โจทก์ทั้งสองด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โจทก์ทั้งสองมิอาจเห็นพ้องต้องด้วยกับการพิจารณาและวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการ โจทก์ทั้งสองจึงขอฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ซึ่งโจทก์ทั้งสองจะได้กล่าวต่อไปนี้ ต่อจากนั้นจึงได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในข้อที่โจทก์ทั้งสองไม่เห็นด้วย ซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของโจทก์ทั้งสองโดยตลอดแล้วไม่อาจทราบได้ว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดว่าอย่างไรจำเลยทั้งเจ็ดให้การต่อสู้ว่าอย่างไร ข้อที่โจทก์ทั้งสองยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบด้วยมาตรา246,247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าและการฟ้องขับไล่: ประเด็นใหม่ที่ฎีกาไม่รับพิจารณา
จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าจากโจทก์ ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่าชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งก่อนโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3403/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาเนื่องจากไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาล และคำสั่งอนุญาตให้ทายาทเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตให้ยื่นฟ้องฎีกาอย่างคนอนาถา จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ซึ่งจำเลยไม่ได้ชำระ คำฟ้องฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย รับไว้พิจารณาไม่ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยหาหลักประกันสำหรับค่าธรรมเนียมจำนวนนี้มาวางศาลและทำสัญญาประกันไว้ก็ไม่ทำให้ฟ้องฎีกาของจำเลยเป็นฟ้องที่ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้นมาได้
จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเจวะ เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะนั้น นางสาวคล้อยได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านเป็นพยานว่าโจทก์ที่ 1 เป็นหัวหน้าครอบครัวนางสาวคล้อยมีความเกี่ยวพันกับหัวหน้าครอบครัวโดยเป็นพี่ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำแถลงและคำให้การของจำเลยที่ว่านางสาวคล้อยเป็นพี่ของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่1 ไม่มีภรรยาและบุตร. บิดามารดาถึงแก่กรรมไปหมดแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางสาวคล้อยผู้ร้องเป็นทายาทของโจทก์ที่ 1 จริงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเป็นคู่ความแทนโจทก์ ที่ 1 ผู้มรณะจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43
ฎีกาของจำเลยที่ว่าผู้ร้องไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าเป็นผู้รับมรดกแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะได้เพราะอายุมากยังหาคู่สมรสไม่ได้ ไม่มีความรู้เขียนอ่านหนังสือไม่ได้ เป็นฎีกาที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยไร้สาระ
จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเจวะ เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะนั้น นางสาวคล้อยได้ยื่นสำเนาทะเบียนบ้านเป็นพยานว่าโจทก์ที่ 1 เป็นหัวหน้าครอบครัวนางสาวคล้อยมีความเกี่ยวพันกับหัวหน้าครอบครัวโดยเป็นพี่ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับคำแถลงและคำให้การของจำเลยที่ว่านางสาวคล้อยเป็นพี่ของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่1 ไม่มีภรรยาและบุตร. บิดามารดาถึงแก่กรรมไปหมดแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางสาวคล้อยผู้ร้องเป็นทายาทของโจทก์ที่ 1 จริงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ตั้งให้นางสาวคล้อยเป็นคู่ความแทนโจทก์ ที่ 1 ผู้มรณะจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 43
ฎีกาของจำเลยที่ว่าผู้ร้องไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าเป็นผู้รับมรดกแทนโจทก์ที่ 1 ผู้มรณะได้เพราะอายุมากยังหาคู่สมรสไม่ได้ ไม่มีความรู้เขียนอ่านหนังสือไม่ได้ เป็นฎีกาที่กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยไร้สาระ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2678/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาเนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่คัดค้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกี่ยวกับพยานหลักฐานเท็จ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความเท็จในบันทึกการจับกุมไม่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้นหรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าว จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2678/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาเนื่องจากฎีกาโจทก์ไม่คัดค้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกี่ยวกับความผิดฐานทำพยานหลักฐานเท็จ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความเท็จในบันทึกการจับกุมไม่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้นหรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริงพิพากษายกฟ้องโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าว จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณา