พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงิน, การหักดอกเบี้ยล่วงหน้า, การคำนวณดอกเบี้ย, และการฟ้องแย้งเรื่องเงินเกินจำนวน
โจทก์นำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าได้มอบเงินครบจำนวนตามสัญญากู้ให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยยอมให้หักดอกเบี้ยไว้ล่วงหน้า เป็นการนำสืบถึงความเป็นมาของเงินต้นตามสัญญากู้ ไม่เป็นการรับฟังพยานบุคคลแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากู้ ส่วนการที่โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบว่าจำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์แล้วในวันทำสัญญากู้ ก็เป็นการนำสืบแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงการรับฟังพยานบุคคลเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
เมื่อไม่ปรากฏว่าในวันกู้ยืมเงินโจทก์ได้มอบเงินให้แก่จำเลยตั้งแต่เวลาใด ถือไม่ได้ว่าเริ่มการในวันนั้นตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่มทำการงานตามประเพณี จึงต้องห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย
เมื่อสัญญากู้เงินระบุให้คิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีและในปี พ.ศ. 2519 ที่กู้ยืมกันมี 366 วัน การคำนวณดอกเบี้ยต้องถือว่าระยะเวลา 1 ปีมี 366 วัน
เมื่อไม่ปรากฏว่าในวันกู้ยืมเงินโจทก์ได้มอบเงินให้แก่จำเลยตั้งแต่เวลาใด ถือไม่ได้ว่าเริ่มการในวันนั้นตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่มทำการงานตามประเพณี จึงต้องห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลารวมคำนวณเข้าด้วย
เมื่อสัญญากู้เงินระบุให้คิดดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีและในปี พ.ศ. 2519 ที่กู้ยืมกันมี 366 วัน การคำนวณดอกเบี้ยต้องถือว่าระยะเวลา 1 ปีมี 366 วัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7666/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินอัตราตามกฎหมาย สัญญาเป็นโมฆะ แต่แยกเงินต้นได้ การชำระหนี้โดยสมัครใจไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน
ยอดเงินกู้จำนวน 1,025,000 บาท ตามสัญญากู้เงินมีส่วนที่เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วยจำนวน 559,000 บาท ซึ่งไม่สมบูรณ์และตกเป็นโมฆะ แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจำนวนเงินส่วนที่มีที่มาจากดอกเบี้ยดังกล่าวจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็สามารถแยกส่วนเงินต้นที่สมบูรณ์ออกมาได้ จำเลยรับในคำให้การและนำสืบว่าก่อนทำสัญญากู้เงินจำเลยค้างชำระเงินต้นแก่โจทก์ 466,000 บาท ส่วนที่นำสืบว่าได้ผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์บ้างแล้วคงค้างชำระเงินต้นเพียง 200,000 บาทนั้น ในส่วนของการชำระเงินต้นจำเลยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้ยืมมาแสดงตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง จึงต้องห้ามมิให้นำสืบและรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้ตามคำฟ้องโจทก์ว่า จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ 33,000 บาท เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยสมยอมชำระดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตาม ป.พ.พ. มาตรา 407 จำเลยไม่มีสิทธิจะได้รับคืนดอกเบี้ยที่ได้ชำระไปแล้ว จึงนำไปหักออกจากเงินต้นที่ค้างชำระไม่ได้ อย่างไรก็ดีการที่จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในการชำระหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224