คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ตกลงเลิกสัญญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5111/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: เหตุผลการเลิกจ้างเป็นสาระสำคัญ แม้มีการอ้างตกลงเลิกสัญญา
จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยจำเลยยกเหตุแห่งการปฏิเสธว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการทำงานของโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของโจทก์ทำให้จำเลยเสียหาย จึงไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การที่จำเลยขอแก้ไขคำให้การเป็นเหตุประการที่สองว่า โจทก์ตกลงเลิกสัญญากับจำเลยซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญาจ้างกัน เห็นได้ว่าหากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจำเลยแสดงเจตนาฝ่ายเดียวตามเหตุประการแรกก็ไม่อาจมีกรณีตกลงเลิกสัญญาด้วยการแสดงเจตนาของโจทก์จำเลยร่วมกันทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นพร้อมกันอีก คำให้การที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมที่อ้างว่า มีการตกลงเลิกสัญญาจ้างกันแล้วจึงเป็นเพียงเหตุผลสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะการทำงานของโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งจำเลยอ้างว่า เมื่อโจทก์ไม่ลาออกจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ เหตุแห่งการปฏิเสธที่ว่า โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญากันจึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ดังนั้นที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรมเพราะไม่มีเหตุอันสมควรในการเลิกจ้างตามเหตุแห่งการปฏิเสธในคำให้การของจำเลยประการแรก โดยไม่วินิจฉัยเหตุที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ประการที่สองจึงชอบแล้ว
อุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยเมื่อไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ศาลไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5111/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: ศาลยืนตามเดิม แม้จำเลยอ้างมีการตกลงเลิกสัญญา แต่เป็นเหตุสนับสนุนข้ออ้างเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน
จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยจำเลยยกเหตุแห่งการปฏิเสธว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการทำงานของโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของโจทก์ทำให้จำเลยเสียหายจึงไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม การที่จำเลยขอแก้ไขคำให้การเป็นเหตุประการที่สองว่า โจทก์ตกลงเลิกสัญญากับจำเลยซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงเลิกสัญญาจ้างกัน เห็นได้ว่าหากจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจำเลยแสดงเจตนาฝ่ายเดียวตามเหตุประการแรกก็ไม่อาจมีกรณีตกลงเลิกสัญญาด้วยการแสดงเจตนาของโจทก์จำเลยร่วมกันทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นพร้อมกันอีก คำให้การที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมที่อ้างว่า มีการตกลงเลิกสัญญาจ้างกันแล้วจึงเป็นเพียงเหตุผลสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะการทำงานของโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพเท่านั้นหรืออีกนัยหนึ่งจำเลยอ้างว่า เมื่อโจทก์ไม่ลาออกจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ เหตุแห่งการปฏิเสธที่ว่า โจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญากันจึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดี ดังนั้นที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรมเพราะไม่มีเหตุอันสมควรในการเลิกจ้างตามเหตุแห่งการปฏิเสธในคำให้การของจำเลยประการแรกโดยไม่วินิจฉัยเหตุที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ประการที่สองจึงชอบแล้ว
อุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยเมื่อไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ศาลไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่านาต้องทำตามเงื่อนไขพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517 แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกสัญญา
การเช่านาและการบอกเลิกการเช่านาพิพาทอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่านาพิพาทก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านา โดยจำเลยรับทราบและไม่ประสงค์จะเช่านาพิพาทเช่นกัน จึงเป็นการแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่ายว่า ผู้ให้เช่านากับผู้เช่านาตกลงเลิกการเช่านาพิพาท ซึ่งกรณีนี้มาตรา 31(3) ของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 ให้ทำเป็นหนังสือต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมาย การเช่านาจึงจะสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่านา ดังนั้น เมื่อหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทไม่ได้ทำต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายจึงไม่เป็นผลให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่า การบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบ
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 เป็นกฎหมายพิเศษ นอกเหนือกฎหมายธรรมดา จึงต้องบังคับตามกฎหมายพิเศษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่านาต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด (มาตรา 31(3) พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา) แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกกันเอง
การเช่านาและการบอกเลิกการเช่านาพิพาทอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่านาพิพาทก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาโดยจำเลยรับทราบและไม่ประสงค์จะเช่านาพิพาทเช่นกันจึงเป็นการแสดงเจตนาของทั้งสองฝ่ายว่าผู้ให้เช่านากับผู้เช่านาตกลงเลิกการเช่านาพิพาทซึ่งกรณีนี้มาตรา31(3)ของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517ให้ทำเป็นหนังสือต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายการเช่านาจึงจะสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่านาดังนั้นเมื่อหนังสือบอกเลิกการเช่านาพิพาทไม่ได้ทำต่อหน้านายอำเภอหรือผู้ที่นายอำเภอมอบหมายจึงไม่เป็นผลให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดลงก่อนกำหนดระยะเวลาเช่าการบอกเลิกสัญญาเช่าของโจทก์จึงไม่ชอบ พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ.2517เป็นกฎหมายพิเศษนอกเหนือกฎหมายธรรมดาจึงต้องบังคับตามกฎหมายพิเศษ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3092/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าและการคืนเงินค่าก่อสร้าง การยอมรับเงินค่าก่อสร้างหลังฟ้องคดีถือเป็นการตกลงเลิกสัญญา
โจทก์ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากจำเลยโดยยอมชำระเงินค่าก่อสร้างให้จำเลยเป็นการตอบแทนที่จำเลยยอมให้เช่าห้องพิพาทต่อมาจำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังโจทก์และได้ออกเช็ค2ฉบับกับตั๋วแลกเงิน1ฉบับเป็นจำนวนเงินเท่ากับเงินค่าก่อสร้างคืนให้โจทก์แสดงว่าจำเลยประสงค์แต่จะเลิกสัญญากับโจทก์เท่านั้นโดยไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาจึงได้ยอมคืนเงินค่าก่อสร้างแก่โจทก์ทั้งหมดปรากฏว่าโจทก์ไม่ยอมรับเช็คและตั๋วแลกเงินดังกล่าวจำเลยจึงต้องมีหนังสือยืนยันและคืนเช็คพร้อมตั๋วแลกเงินให้โจทก์อีกแม้ต่อมาโจทก์ยอมรับตั๋วแลกเงินและเช็คไว้ก็ตามแต่โจทก์ก็มิได้นำไปขึ้นเงินจึงเป็นการบอกเลิกสัญญาของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลทางกฎหมายแต่อย่างใดภายหลังโจทก์จึงนำตั๋วแลกเงินและเช็ค2ฉบับของจำเลยไปขึ้นเงินแต่ขึ้นเงินตามเช็คไม่ได้เพราะเช็คขาดอายุความแสดงว่าโจทก์ตกลงเลิกสัญญากับจำเลยแล้วและยินดีรับเงินค่าก่อสร้างที่จำเลยคืนให้ซึ่งเป็นการใช้สิทธิในฐานะผู้เช่าห้องพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตสัญญาเช่าห้องพิพาทเป็นอันระงับจำเลยจึงต้องชำระเงินที่ค้างอยู่ให้แก่โจทก์.