พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5165/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนประกันภัยไม่จดทะเบียน: สัญญาผูกพัน, มีมูลหนี้, สัตยาบัน, ข่มขู่ไม่มีผล
จำเลยที่ 1 หารถยนต์มาเอาประกันภัยกับโจทก์โดยได้รับบำเหน็จตอบแทนในอัตราร้อยละ 12 โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่นำกรมธรรม์ไปส่งให้แก่ลูกค้าและรับเบี้ยประกันภัยจากลูกค้ามามอบให้โจทก์ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของโจทก์แล้วแม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนอันมีผลให้การกระทำของทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2534 มาตรา 31(13)และมาตรา 63 ก็ตามก็เป็นเรื่องที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการแก่โจทก์และจำเลยที่ 1แต่ในระหว่างตัวแทนกับตัวการด้วยกัน ตัวแทนจะอ้างบทกฎหมายดังกล่าวเพื่อไม่ต้องรับผิดคืนเบี้ยประกันภัยที่ได้รับไว้จากลูกค้าของโจทก์หาได้ไม่ และการเป็นตัวแทนประกันวินาศภัยหาใช่การที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่สัญญาตัวแทนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมีผลผูกพันบังคับกันได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาและโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับผิดชำระเบี้ยประกันแทนลูกค้าให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับสำหรับกิจการที่ตัวแทนไปทำกับบุคคลภายนอกแทนตัวการเท่านั้น มิได้ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทระหว่างตัวการ กับตัวแทน จำเลยทั้งสองจึงอ้างบทบัญญัติดังกล่าวมิได้และการที่โจทก์ขู่ว่าจะกลั่นแกล้งลูกค้าที่จำเลยที่ 1 หามาเพื่อบังคับให้จำเลยลงชื่อทำสัญญารับสภาพหนี้และค้ำประกันนั้น หาใช่การข่มขู่อันจะมีผลให้การแสดงเจตนาต้องเสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ไม่ ทั้งการที่จำเลยที่ 1ได้ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นหนี้อีกรายการหนึ่งตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้และค้ำประกัน ย่อมถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่การที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าไม่สมบูรณ์แล้วด้วย จำเลยทั้งสองจะอ้างข่มขู่ให้พ้นความรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่
แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับผิดชำระเบี้ยประกันแทนลูกค้าให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับสำหรับกิจการที่ตัวแทนไปทำกับบุคคลภายนอกแทนตัวการเท่านั้น มิได้ใช้บังคับแก่ข้อพิพาทระหว่างตัวการ กับตัวแทน จำเลยทั้งสองจึงอ้างบทบัญญัติดังกล่าวมิได้และการที่โจทก์ขู่ว่าจะกลั่นแกล้งลูกค้าที่จำเลยที่ 1 หามาเพื่อบังคับให้จำเลยลงชื่อทำสัญญารับสภาพหนี้และค้ำประกันนั้น หาใช่การข่มขู่อันจะมีผลให้การแสดงเจตนาต้องเสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ไม่ ทั้งการที่จำเลยที่ 1ได้ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นหนี้อีกรายการหนึ่งตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้และค้ำประกัน ย่อมถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่การที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าไม่สมบูรณ์แล้วด้วย จำเลยทั้งสองจะอ้างข่มขู่ให้พ้นความรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนประกันภัย, การต่ออายุสัญญา, ตัวการรับผิด, ตัวแทนไม่ต้องรับผิด
โจทก์ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากจำเลยที่ 2 มีที่ดินและบ้านจำนองเป็นประกันระเบียบของจำเลยที่ 2 กำหนดให้โจทก์เอาประกันบ้านดังกล่าวโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประโยชน์ในการประกันภัยผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 และพนักงานเป็นผู้เตรียมแบบพิมพ์เอกสาร ทำสัญญาประกันภัยกับชำระเบี้ยประกันภัยที่สำนักงานสาขาจำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 1 เมื่อออกกรมธรรม์ประกันภัยแล้ว จำเลยที่ 1 ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยและใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยให้สาขาจำเลยที่ 2 สาขาจำเลยที่ 2 จะส่งเฉพาะใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยให้โจทก์ ส่วนกรมธรรม์ประกันภัยสาขาจำเลยที่ 2 เป็นผู้เก็บไว้เอง เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยจะหมดอายุ สาขาจำเลยที่ 2ก็เป็นผู้แจ้งเตือนให้โจทก์ต่ออายุสัญญาประกันภัย พฤติการณ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 2 เชิดตนเองเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการรับประกันภัยบ้านโจทก์ที่จำนองไว้เป็นประกันกับจำเลยที่ 2
แม้ตัวแทนจำเลยที่ 1 จะรับเบี้ยประกันภัยเพื่อต่ออายุสัญญาประกันภัย เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยขาดอายุแล้วก็ตาม แต่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ก็ยินยอมให้โจทก์ผัดชำระเบี้ยประกันภัยได้ และในกรณีเช่นนี้ตามปกติแล้วเมื่อตัวแทนจำเลยที่ 1 ติดต่อไปยังจำเลยที่ 1ทางจำเลยที่ 1 ก็ต่ออายุสัญญาให้ ถือว่าคู่สัญญามีเจตนาต่ออายุสัญญาประกันภัยให้มีผลผูกพันต่อไปอีก 1 ปี ตามเงื่อนไขเดิม
กฎหมายมิได้กำหนดแบบแห่งสัญญาประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาทำคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน
มีระเบียบของจำเลยที่ 2 กำหนดให้เอาประกันภัยทรัพย์สินที่จำนองไว้กับจำเลยที่ 2 การที่ผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 ดำเนินการให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้เอาประกันภัยทรัพย์สินที่จำนองกับจำเลยที่ 1 ย่อมมีผลให้จำเลยที่ 2 ได้หลักประกันที่มั่นคงยิ่งขึ้น ถือไม่ได้ว่าผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 2 หรือนอกเหนือขอบอำนาจที่จำเลยที่ 2 มอบให้ผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 กระทำแทน
ในการเอาประกันภัยจำเลยที่ 2 ได้มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 2 โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 2 ได้เอาประกันภัยบ้านของโจทก์ที่จำนองไว้กับจำเลยที่ 2 โดยมีผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 ดำเนินการให้ตั้งแต่ให้โจทก์กรอกแบบคำเสนอขอเอาประกันภัย รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ไปชำระให้จำเลยที่ 1 รับกรมธรรม์ประกันภัยและใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยจากจำเลยที่ 1 มาให้โจทก์ ลักษณะการกระทำของผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 แสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์ในการติดต่อทำนิติกรรมประกันภัยกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนแม้จะประมาทเลินเล่อไม่ส่งเบี้ยประกันภัยในเวลาอันสมควรให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ในฐานะตัวการย่อมไม่ได้รับความเสียหายเพราะความเสียหายได้หมดไปโดยโจทก์ย่อมบังคับเอาจากจำเลยที่ 1ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
แม้ตัวแทนจำเลยที่ 1 จะรับเบี้ยประกันภัยเพื่อต่ออายุสัญญาประกันภัย เมื่อกรมธรรม์ประกันภัยขาดอายุแล้วก็ตาม แต่ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ก็ยินยอมให้โจทก์ผัดชำระเบี้ยประกันภัยได้ และในกรณีเช่นนี้ตามปกติแล้วเมื่อตัวแทนจำเลยที่ 1 ติดต่อไปยังจำเลยที่ 1ทางจำเลยที่ 1 ก็ต่ออายุสัญญาให้ ถือว่าคู่สัญญามีเจตนาต่ออายุสัญญาประกันภัยให้มีผลผูกพันต่อไปอีก 1 ปี ตามเงื่อนไขเดิม
กฎหมายมิได้กำหนดแบบแห่งสัญญาประกันภัยไว้ สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นเมื่อมีการแสดงเจตนาทำคำเสนอคำสนองถูกต้องตรงกัน
มีระเบียบของจำเลยที่ 2 กำหนดให้เอาประกันภัยทรัพย์สินที่จำนองไว้กับจำเลยที่ 2 การที่ผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 ดำเนินการให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้เอาประกันภัยทรัพย์สินที่จำนองกับจำเลยที่ 1 ย่อมมีผลให้จำเลยที่ 2 ได้หลักประกันที่มั่นคงยิ่งขึ้น ถือไม่ได้ว่าผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 ทำนอกเหนือวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 2 หรือนอกเหนือขอบอำนาจที่จำเลยที่ 2 มอบให้ผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 2 กระทำแทน
ในการเอาประกันภัยจำเลยที่ 2 ได้มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยให้แก่ลูกค้าของจำเลยที่ 2 โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 2 ได้เอาประกันภัยบ้านของโจทก์ที่จำนองไว้กับจำเลยที่ 2 โดยมีผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 ดำเนินการให้ตั้งแต่ให้โจทก์กรอกแบบคำเสนอขอเอาประกันภัย รับเบี้ยประกันภัยจากโจทก์ไปชำระให้จำเลยที่ 1 รับกรมธรรม์ประกันภัยและใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันภัยจากจำเลยที่ 1 มาให้โจทก์ ลักษณะการกระทำของผู้จัดการสาขาจำเลยที่ 2 แสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์ในการติดต่อทำนิติกรรมประกันภัยกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนแม้จะประมาทเลินเล่อไม่ส่งเบี้ยประกันภัยในเวลาอันสมควรให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ในฐานะตัวการย่อมไม่ได้รับความเสียหายเพราะความเสียหายได้หมดไปโดยโจทก์ย่อมบังคับเอาจากจำเลยที่ 1ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งอุบัติเหตุผ่านตัวแทนประกันภัย: ถือเป็นการแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว หากจำเลยไม่ได้ปฏิเสธอำนาจตัวแทน
โจทก์ทำสัญญาประกันชีวิตกับเพิ่มเติมสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพไว้กับจำเลยโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ จะต้องแจ้งรายละเอียดการเกิดเหตุและยื่นคำเรียกร้องค่าทดแทนเป็นหนังสือต่อจำเลย ในระหว่างอายุสัญญา โจทก์ประสบอุบัติเหตุและได้แจ้งขอรับเงินค่าทดแทนต่อ ศ. ตัวแทนหาประกันของจำเลยซึ่งได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทราบ ต่อมาโจทก์ได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังจำเลยโดยผ่านทาง ศ.อีก เช่นนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีแสดงว่านอกจาก ศ.จะเป็นตัวแทนหาประกันให้จำเลยแล้ว ยังได้ทำการเป็นตัวแทนของจำเลยภายในขอบอำนาจเกี่ยวกับการรับแจ้งอุบัติเหตุด้วย หาก ศ.ไม่มีอำนาจรับแจ้งเหตุตามสัญญาประกันภัยก็ชอบที่จะชี้แจงหรือแนะนำให้โจทก์แจ้งเหตุต่อจำเลยโดยตรง ถือได้ว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3040/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งอุบัติเหตุผ่านตัวแทนประกันภัย: ถือเป็นการแจ้งให้จำเลยทราบโดยชอบ
โจทก์ทำสัญญาประกันชีวิตกับเพิ่มเติมสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพไว้กับจำเลยโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะต้องแจ้งรายละเอียดการเกิดเหตุและยื่นคำเรียกร้องค่าทดแทนเป็นหนังสือต่อจำเลย ในระหว่างอายุสัญญา โจทก์ประสบอุบัติเหตุและได้แจ้งขอรับเงินค่าทดแทนต่อ ศ.ตัวแทนหาประกันของจำเลยซึ่งได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทราบ ต่อมาโจทก์ได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังจำเลยโดยผ่านทาง ศ.อีก เช่นนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีแสดงว่านอกจาก ศ.จะเป็นตัวแทนหาประกันให้จำเลยแล้ว ยังได้ทำการเป็นตัวแทนของจำเลยภายในขอบอำนาจเกี่ยวกับการรับแจ้งอุบัติเหตุด้วย หาก ศ.ไม่มีอำนาจรับแจ้งเหตุตามสัญญาประกันภัยก็ชอบที่จะชี้แจงหรือแนะนำให้โจทก์แจ้งเหตุต่อจำเลยโดยตรง ถือได้ว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของสัญญาประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2564
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าตอบแทนตัวแทนประกันภัย: สิทธิเมื่อสัญญาตัวแทนสิ้นสุดลง และการได้รับประโยชน์จากผลงานที่ทำสำเร็จแล้ว
เมื่อพิเคราะห์สัญญาตัวแทนประกันชีวิตสามัญ ข้อ 4.1 ที่ระบุว่า ตัวแทนประกันชีวิตจะได้รับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนจากสัญญาประกันชีวิตที่ตัวแทนประกันชีวิตหามาได้ ตามคำสั่งหรือประกาศหรือระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนของตัวแทนประกันชีวิตตามที่บริษัทกำหนด เฉพาะสัญญาประกันชีวิตที่บริษัทได้ออกกรมธรรม์และได้มีการชำระเบี้ยประกันภัยแล้ว กับสัญญาข้อ 9.4 ที่ระบุว่า เมื่อสัญญาตัวแทนประกันชีวิตสิ้นสุดลง ตัวแทนประกันชีวิตไม่มีสิทธิจะได้รับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนใด ๆ จากผลงานที่ได้ทำให้ไว้กับบริษัทอีกต่อไป ประกอบกันแล้ว กรณีที่สัญญาตัวแทนประกันชีวิตสิ้นสุดลงอันจะเป็นผลให้ตัวแทนประกันชีวิตไม่มีสิทธิได้รับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนใด ๆ จากผลงานที่ตนได้ทำให้ไว้กับจำเลยอีกต่อไปนั้น ย่อมหมายถึงกรณีผลงานที่ตัวแทนประกันชีวิตได้ทำไว้เป็นเพียงแต่หาผู้เข้าทำสัญญาประกันชีวิตหรือขายประกันชีวิตได้ แต่บริษัทยังไม่ได้ออกกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตและผู้เอาประกันชีวิตยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันชีวิตให้แก่บริษัท หรือผลงานที่ตัวแทนประกันชีวิตทำไว้แต่ยังไม่ถึงกำหนดจ่ายผลประโยชน์หรือค่าตอบแทน แต่สัญญาตัวแทนประกันชีวิตสิ้นสุดลงเสียก่อน หากผู้เอาประกันชีวิตได้ชำระเบี้ยประกันชีวิตและบริษัทออกกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตภายหลังจากนั้นหรือถึงกำหนดจ่ายผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนภายหลังจากนั้น ตัวแทนประกันชีวิตย่อมไม่มีสิทธิได้รับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนใด ๆ จากประกันชีวิตที่หามาได้เหล่านั้นอีก สัญญาข้อ 9.4 จึงหาใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมดังที่โจทก์ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการขายกรมธรรม์ประกันชีวิตทั้ง 9 ราย ของโจทก์เป็นการขายกรมธรรม์ประกันชีวิตโดยชอบตามสัญญาตัวแทนประกันชีวิตและจำเลยได้รับชำระเบี้ยประกันชีวิตกับได้ออกกรมธรรม์ประกันชีวิตทั้ง 9 ราย ตามฟ้องให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตแล้วก่อนที่จำเลยจะบอกเลิกสัญญาตัวแทนประกันชีวิตสามัญกับโจทก์ ถือว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการที่โจทก์เป็นนายหน้าอันเป็นการงานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยและถึงกำหนดที่จะต้องจ่ายผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนแก่โจทก์ก่อนที่สัญญาตัวแทนประกันชีวิตสามัญสิ้นสุดลง โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนใด ๆ อันเป็นค่าแห่งการงานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม สัญญาข้อ 9.4 จึงหาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ยอมสละสิทธิเรียกร้องค่าแห่งการงานที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งหมดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินค่าผลประโยชน์และค่าตอบแทนต่าง ๆ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์