คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ถมดิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 21 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวต้องอยู่ในขอบเขตข้อพิพาทตามคำให้การ การขอให้รื้อถอนหรือถมดินไม่ใช่ประโยชน์ที่ศาลต้องคุ้มครองระหว่างพิจารณา
จำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์รื้อถอนกองดินและกำแพงซีเมนต์ออกจากทางเข้าออกที่ดินพิพาท หรือให้โจทก์ถมทางที่ขุดหลุมไว้ปิดกั้นมิให้จำเลยออกสู่ถนนหลวง ซึ่งเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์นอกขอบเขตตามคำให้การของจำเลย มิใช่เป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา ทั้งจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงมิใช่การขอคุ้มครองประโยชน์เพื่อบังคับตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 ไม่ชอบที่จำเลยจะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6572/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการได้รับค่าทดแทนการเวนคืน: เจ้าของที่ดิน vs ผู้เช่า/ผู้ครอบครอง - การถมดินและค่าขาดประโยชน์
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนซึ่งได้ให้ ค. เช่าที่ดินดังกล่าวใช้เป็นสถานที่แสดง ผลิต จำหน่าย ซ่อมบำรุง และตบแต่งรถยนต์ โดยจดทะเบียนการเช่ากันก่อนวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ 1 เดือนเศษ อายุการเช่ามีกำหนด 10 ปี เริ่มตั้งแต่หลังวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ ประมาณ 2 เดือน โดยข้อ 8 ของสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวระบุว่า "บรรดาสิ่งปลูกสร้างหรือทรัพย์สินใด ๆ ที่ผู้เช่าสร้างลงไปในที่ดินตามสัญญานี้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เช่า แต่เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าผู้เช่าจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เช่าออกไปทั้งหมดหรือบางส่วนตามความประสงค์ของผู้ให้เช่าและปรับระดับของพื้นดินให้เรียบร้อยภายในกำหนดเวลา 1 เดือน นับแต่วันสิ้นสุดสัญญานี้เว้นแต่ผู้ให้เช่ามีความประสงค์จะให้ผู้เช่าที่ดินต่อไปหรือผู้ให้เช่ามีความประสงค์ให้สิ่งปลูกสร้างนั้นมีสภาพตามที่เป็นอยู่ก่อนสิ้นสุดสัญญา?" ค. ผู้เช่าเป็นผู้ถมดินในที่ดินดังกล่าวและเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายในการถมดิน ดังนั้นก่อนสัญญาเช่าที่ดินจะสิ้นสุดลง ดินที่ถมดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ ค. อยู่ตามข้อ 8 ของสัญญาเช่าที่ดินและฝ่ายจำเลยกำหนดเงินค่าทดแทนค่าถมดินนี้ โดยถือว่าเป็นเงินค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างที่รื้อถอนได้ซึ่งมีอยู่ในที่ดินที่ต้องเวนคืนในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 18 (5) ค. ได้รับมอบสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ในวันที่ทำสัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นวันก่อนวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาฯ และหลังจากวันใช้บังคับ พระราชกฤษฎีกาฯ ก็ยังคงเป็นเจ้าของที่ดินที่ถมนั้นอยู่ และมีสิทธิที่จะได้ใช้ประโยชน์จากการถมดินนั้น ย่อมเป็นผู้ได้รับผลกระทบและต้องเสียหายในส่วนนี้โดยตรงอันเนื่องจากการดำเนินการเวนคืนของฝ่ายจำเลย จึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนส่วนนี้ตามมาตรา 18 (5) โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายในส่วนนี้โดยตรงจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงิน ค่าทดแทนค่าถมดินในที่ดินของโจทก์
พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 วรรคท้าย มุ่งหมายให้จ่ายเงินค่าทดแทน ความเสียหายให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายที่อยู่อาศัยหรือประกอบการค้าขาย หรือประกอบการงานอันชอบด้วยกฎหมายอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนเท่านั้น มิได้ประสงค์จะให้จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้อยู่อาศัยหรือประกอบการค้าขายในอสังหาริมทรัพย์นั้นด้วย เมื่อโจทก์มิได้อยู่อาศัยและไม่ได้ประกอบการค้าขายในที่ดินที่ต้องเวนคืนเนื่องจากให้ ค. เช่าไปประกอบธุรกิจการค้าเป็นสถานที่แสดงรถยนต์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนค่าขาดประโยชน์ที่ได้จากการให้เช่าที่ดินที่ถูกเวนคืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมทางเดินเกินขอบเขต เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิถมดินเพิ่ม โจทก์มีสิทธิกีดขวาง
การจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินของโจทก์ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นภาระจำยอมเรื่องทางเดินทั้งแปลง การวางท่อระบายน้ำ ระบบประปา ไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคอื่น การที่จำเลยทั้งสี่จ้างรถบรรทุกดินเข้ามาถมที่ดินของจำเลยทั้งสี่ซึ่งมีจำนวนหลายไร่ ถือได้ว่าเป็นการใช้ทางภาระจำยอมเกินควรกว่าปกติ ย่อมทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะทำได้ การที่โจทก์นำหลักปักกีดขวางมิให้รถบรรทุกดินแล่นผ่านที่ภารยทรัพย์เข้าไปถมที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นการละเมิดต่อจำเลยทั้งสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของที่ดินมีสิทธิใช้ทาง แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น การถมดินทำให้เสียหายถือเป็นการละเมิด
บริษัทพ. ซึ่งโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาได้สร้างถนนพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่3และที่4ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สร้างถนนฉะนั้นจึงถือได้ว่าถนนพิพาทเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา146ที่จะไม่เป็นส่วนควบของที่ดินจำเลยที่1ที่3ที่4ที่5และที่6เป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่มีถนนพิพาทผ่านก็ย่อมมีสิทธิใช้ที่ดินเป็นทางเข้าออกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1360 แม้จำเลยที่1จะเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่ตั้งถนนพิพาทและมีสิทธิใช้ที่ดินและถนนพิพาทนั้นในฐานะเจ้าของรวมก็ตามแต่การใช้สิทธิของจำเลยที่1จะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา421และ1360การกระทำของจำเลยที่1ที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิบล้อขนดินและวัสดุต่างๆในการทำโครงการจัดสรรที่ดินและบ้านทำให้ถนนพิพาทเสียหายจึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คผิดสัญญา: จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาถมดิน สั่งระงับเช็คไม่ได้ จำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังต้องรับผิด
การที่จำเลยที่1สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระค่าหน้าดินตามสัญญาเมื่อจำเลยที่1ผิดสัญญาและไม่มีสิทธิระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทแม้ต่อมาโจทก์จะบอกเลิกสัญญาก็ตามจำเลยก็ยังคงต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์ จำเลยที่2เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา914ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5273/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางภาระจำยอมโดยอายุความและการถมดินเพื่อรักษาทาง
ที่ดินแปลงหนึ่งแม้มีทางออกสู่ถนนสาธารณะแล้ว ก็อาจก่อให้เกิดทางภาระจำยอมทางอื่นโดยอายุความอีกได้
การที่เจ้าของสามยทรัพย์ถมทางภาระจำยอมให้สูงเท่ากับทางสาธารณะเพื่อเป็นการรักษาและใช้ทางภาระจำยอม ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1391ไม่เป็นการละเมิดต่อเจ้าของภารยทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5273/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางภารจำยอมอาจเกิดขึ้นได้แม้มีทางออกอื่น และการถมดินเพื่อรักษาทางภารจำยอมไม่ถือเป็นการละเมิด
ที่ดินแปลงหนึ่งแม้มีทางออกสู่ถนนสาธารณะแล้วก็อาจก่อให้เกิดทางภารจำยอมทางอื่นโดยอายุความอีกได้ การที่เจ้าของสามยทรัพย์ถมทางภารจำยอมให้สูงเท่ากับทางสาธารณะเพื่อเป็นการรักษาและใช้ทางภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1391ไม่เป็นการละเมิดต่อเจ้าของภารยทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากละเมิดและการขุดดินใกล้เขตที่ดิน การสร้างเขื่อนหรือถมดินเพื่อแก้ไขที่ดินพังทลาย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยก่อสร้างเขื่อนเพื่อกั้นดินในเขตติดต่อที่ดินโจทก์จำเลยมิให้พังทลายลงโดยไม่ได้ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิดโดยตรงจึงไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคหนึ่งซึ่งมีอายุความเพียง1ปีและในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงใช้อายุความตามหลักทั่วไปตามมาตรา193/30ซึ่งมีอายุความ10ปี โดยหลักทั่วไปแล้วผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นต่อบุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างเว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้างดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา428เมื่อจำเลยเป็นผู้กำหนดว่าจะขุดดินบริเวณใดและจำเลยร่วมได้ทำตามคำสั่งของจำเลยเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์พังทลายลงจำเลยจึงต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ฟ้องขอให้สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นดินยาว180เมตรความประสงค์ของโจทก์ต้องการที่จะให้ที่ดินอยู่ในสภาพเดิมไม่พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยเท่านั้นซึ่งการสร้างเขื่อนก็เป็นวิธีการหนึ่งที่โจทก์เห็นว่าจะกั้นดินไม่ให้พังทลายลงแต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการสร้างเขื่อนเกินความจำเป็นจึงได้ใช้วิธีถมดินแล้วบดอัดให้แน่นเพื่อป้องกันมิให้ที่ดินของโจทก์พังทลายลงไปในที่ดินของจำเลยนั้นศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำได้ไม่เกินคำขอของโจทก์แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ถมดินระยะยาวเกินกว่า180เมตรเป็นการเกินคำขอของโจทก์จึงไม่อาจทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3406/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการถมดินทำลายบ่อปลา แม้ผู้ถูกฟ้องไม่เป็นเจ้าของที่ดิน แต่กระทำการละเมิดต่อผู้เลี้ยงปลาได้
แม้บริษัท บ.กับพวกเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับ อ.ซึ่งโจทก์อาศัยทำกินอยู่มิใช่จำเลยที่ 1 กับพวกเป็นผู้ซื้อ แต่โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้บังอาจให้ให้บุคคลอื่นนำรถยนต์บรรทุกดินขนาดใหญ่หลายคันนำดินเข้ามาเทถมลงไปในที่เลี้ยงปลาและกุ้งในที่ดินแปลงที่ติดกับที่ดินพิพาท ทำให้ปลาและกุ้งที่โจทก์เลี้ยงไว้ไม่เติบโตและตายในที่สุด มิได้กล่าวอ้างว่าผู้จะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวทำละเมิดต่อโจทก์ ทั้งโจทก์ก็ได้นำสืบว่ารถยนต์ที่บรรทุกดินมาถมที่ดังกล่าวติดป้ายชื่อห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้
แม้โจทก์จะเลี้ยงปลาและกุ้งอยู่ในที่ดินพิพาทหลังจากวันที่โจทก์ยอมรับว่าจะออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และโจทก์ก็ได้รับเงินจาก อ.ผู้มีสิทธิในที่ดินเป็นค่าขนย้ายไปแล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับ อ.ที่จะว่ากล่าวกันต่อไป การที่จำเลยทั้งสองเอาดินไปถมบ่อปลาและกุ้งของโจทก์จนเป็นเหตุทำให้ปลาและกุ้งของโจทก์ตายจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
โจทก์เคยรับปากว่าจะออกไปจากที่พิพาทภายในวันที่ 31 สิงหาคม2527 และรับเงินค่าขนย้ายไปแล้ว แต่ไม่ยอมออกไป จึงถือได้ว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดเหตุอันเป็นมูลละเมิดในคดีนี้อยู่ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3406/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการถมดินทำลายบ่อปลา/กุ้ง แม้ผู้กระทำไม่ใช่เจ้าของที่ดิน แต่เป็นการกระทำโดยเจตนา
แม้บริษัท บ. กับพวกเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับ อ. ซึ่งโจทก์อาศัยทำกินอยู่มิใช่จำเลยที่ 1 กับพวกเป็นผู้ซื้อ แต่โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้บังอาจใช้ให้บุคคลอื่นนำรถยนต์บรรทุกดินขนาดใหญ่หลายคันนำดินเข้ามาเทถมลงไปในที่เลี้ยงปลาและกุ้งในที่ดินแปลงที่ติดกับที่ดินพิพาท ทำให้ปลาและกุ้งที่โจทก์เลี้ยงไว้ไม่เติบโตและตายในที่สุด มิได้กล่าวอ้างว่าผู้จะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวทำละเมิดต่อโจทก์ ทั้งโจทก์ก็ได้นำสืบว่ารถยนต์ที่บรรทุกดินมาถมที่ดังกล่าวติดป้ายชื่อห้างจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ แม้โจทก์จะเลี้ยงปลาและกุ้งอยู่ในที่ดินพิพาทหลังจากวันที่โจทก์ยอมรับว่าจะออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และโจทก์ก็ได้รับเงินจาก อ. ผู้มีสิทธิในที่ดินเป็นค่าขนย้ายไปแล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับ อ. ที่จะว่ากล่าวกันต่อไป การที่จำเลยทั้งสองเอาดินไปถมบ่อปลาและกุ้งของโจทก์จนเป็นเหตุทำให้ปลาและกุ้งของโจทก์ตายจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์เคยรับปากว่าจะออกไปจากที่พิพาทภายในวันที่ 31 สิงหาคม2527 และรับเงินค่าขนย้ายไปแล้ว แต่ไม่ยอมออกไป จึงถือได้ว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดเหตุอันเป็นมูลละเมิดในคดีนี้อยู่ด้วย
of 3