คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทรัพย์สินอื่น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 27 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1515/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีจำนองและทรัพย์สินอื่นร่วม: การยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้แม้ทรัพย์จำนองมีราคาน้อยกว่าหนี้
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ การยึดที่ดินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำนองไว้แต่ยังไม่นำออกขายจนกว่ามีการขายทอดตลาดที่ดินจำนองเสร็จสิ้นและได้เงินไม่พอชำระหนี้จึงจะนำที่ดินนั้นออกขายย่อมไม่เป็นการขัดต่อขั้นตอนการบังคับคดีตามคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน: หลักการใช้ค่ารายปีปีก่อนเป็นฐาน และการเปรียบเทียบกับทรัพย์สินอื่น
การประเมินค่ารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1เป็นการประเมินของปี 2537 ส่วนค่าเช่าที่โจทก์อ้างถึงเป็นค่าเช่าที่โจทก์ทำสัญญากันไว้ในปี 2532 และสัญญาเช่าดังกล่าวมีอายุเพียงปีเดียว จึงเป็นเหตุอันสมควรที่ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจทำการประเมินค่ารายปีได้
ที่โจทก์โต้แย้งว่าแม้สัญญาเช่าโจทก์มีอายุเพียงปีเดียว แต่โจทก์ก็คิดค่าเช่ากับผู้เช่าในอัตราเดิมตลอดมา เพราะตึกที่โจทก์ให้เช่ามิได้ตั้งอยู่ริมถนนเศรษฐกิจ ความเจริญของตึกที่เช่าตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบันมิได้มีการเปลี่ยนแปลง พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เพิ่มค่ารายปีโดยมิได้แสดงให้เห็นว่าถนนที่ตึกโจทก์ตั้งอยู่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น การประเมินค่ารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในปี 2536 ไม่ชอบ แม้โจทก์จะฟ้องคดีและในที่สุดศาลภาษีอากรจำหน่ายคดีก็ตาม ก็ถือได้ว่าโจทก์โต้แย้งการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในปี 2536 แล้ว และปัญหายังมิได้ยุตินั้น เมื่อโจทก์ทิ้งคำฟ้องจนเป็นเหตุให้ศาลภาษีอากรจำหน่ายคดีคำฟ้องของโจทก์จึงตกไปและมีผลทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 176 ปัญหาข้อโต้แย้งการประเมินค่ารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในปี 2536จึงถือว่าไม่มีข้อโต้แย้งต่อไป ค่ารายปีของปี 2536 ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ประเมินจึงฟังเป็นยุติโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ไม่ต้องแสดงว่า ถนนที่ตึกโจทก์ตั้งอยู่เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนทำให้ต้องมีการประเมินเพิ่มขึ้น การประเมินค่ารายปีของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โดยยึดถืออัตราค่ารายปีของปี 2536 ดังกล่าวประกอบทรัพย์สิน ขนาด พื้นที่ ทำเล ที่ตั้งและบริการสาธารณะของบุคคลอื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน ย่อมเป็นการประเมินที่ชอบแล้ว
ทรัพย์สินที่โจทก์ใช้เป็นสำนักงานเพื่อประกอบธุรกิจของโจทก์พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้กำหนดค่ารายปีถัวเฉลี่ยตารางเมตรละ48.96 บาทต่อเดือน โดยเทียบเคียงจากโรงเรือนของธนาคาร ซึ่งธนาคารใช้ดำเนินเอง มีค่ารายปีถัวเฉลี่ยตารางเมตรละ 70 บาทต่อเดือน เมื่อโรงเรือนของธนาคารดังกล่าวอยู่ใกล้เคียงกับโรงเรือนของโจทก์และอยู่ติดถนนสี่พระยาเช่นเดียวกับโรงเรือนของโจทก์และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็กำหนดค่ารายปีต่ำกว่าโรงเรือนดังกล่าว มิได้กำหนดสูงเกินไป การกำหนดค่ารายปีของทรัพย์สินตามรายการดังกล่าวจึงชอบแล้ว
พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 18บัญญัติว่า "ค่ารายปีของปีที่ล่วงมาแล้วนั้นท่านให้เป็นหลักสำหรับการคำนวณค่าภาษีซึ่งจะต้องเสียในปีต่อมา" เมื่อค่ารายปีของปี 2536 เป็นอันยุติตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 กำหนดค่ารายปีของปี 2537โดยอาศัยค่ารายปีของปี 2536 เป็นหลัก จึงชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินหลีกเลี่ยงหนี้ เจ้าหนี้ต้องพิสูจน์ว่าการโอนทำให้เสียเปรียบ หากยังมีทรัพย์สินอื่นเพียงพอชำระหนี้ได้ ศาลไม่อาจสั่งเพิกถอนการโอนได้
จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 3 รายการ เฉพาะหนี้รายการที่ 2มีที่ดินจำนองเป็นประกันมีราคาเกินกว่าหนี้ทั้ง 3 รายการ และจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินอื่นอีก โดยเป็นที่ดิน 3 แปลง แม้จะจำนองเป็นประกันหนี้บุคคลอื่นก็ตาม แต่ก็มีราคาเกินกว่าหนี้จำนองนั้น ๆ โจทก์จึงสามารถยึดบังคับชำระหนี้ได้ การที่จำเลยที่ 1โอนที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลงให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หายังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่จะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์ขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1623/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเฉลี่ยทรัพย์ของเจ้าหนี้: ต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ ณ ขณะยื่นคำร้อง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ศาลจะอนุญาตให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ต่อเมื่อเจ้าหนี้ผู้นั้นไม่อาจเอาชำระหนี้ได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น ๆของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยจะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะที่ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ เมื่อปรากฏว่าในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เข้ามาในคดี จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมีทรัพย์สินอย่างอื่นตามรายการทรัพย์เอกสารหมาย ร.2ถึง 40 ล้านบาท แม้ต่อมาภายหลังจากยื่นคำร้องแล้ว 1 เดือน จำเลยจะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและส่งมอบทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่า ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์นั้น ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระได้โดยสิ้นเชิงจากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3771/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นหลังขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง การตีความสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ระบุว่า หลังจากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดแล้ว โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ในคดีนี้ให้แก่โจทก์อีก อ้างว่าเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ไม่เพียงพอกับเงินที่จำเลยทั้งสี่ต้องชำระตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้ปฏิเสธที่จะชำระหนี้เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ถ้าหากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระหนี้โจทก์ก็มีสิทธิบังคับชำระหนี้เพียงจากทรัพย์ที่จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เท่านั้น คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ในส่วนนี้อนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอให้งดการบังคับคดีอีกต่อไปอยู่ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นมีคำอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งมีผลให้โจทก์สามารถติดตามยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เพื่อบังคับชำระหนี้ได้อีกจนครบมูลหนี้ จึงมีผลเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีที่ให้โจทก์บังคับคดีต่อไปได้อยู่ในตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงอาจใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 คำฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่ครบให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระจนครบ โจทก์และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตกลงจำกัดความรับผิดไว้ว่าถ้าหากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ที่ได้จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดได้เงินไม่ครบจำนวนหนี้แล้วจำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดอีก หรือโจทก์ติดตามเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่จนครบจำนวนหนี้ไม่ได้อีก ดังนั้นเมื่อโจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่เพียงพอจำนวนหนี้ โจทก์จึงยังมีสิทธิติดตามบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ภายใน 10 ปี ได้จนครบจำนวนหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2252/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเฉลี่ยหนี้ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แม้มีทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้เป็นประกัน
ลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 วรรคสอง หมายความถึงลูกหนี้ตามคำพิพากษาผู้ถูกยึดทรัพย์สินซึ่งถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวไม่มีทรัพย์สินอื่นอีกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นก็ขอเฉลี่ยเงินที่ขายทรัพย์สินนั้นได้หาได้หมายความถึงลูกหนี้ตามคำพิพากษาอื่นในคดีที่ผู้ขอเฉลี่ยชนะคดีหรือบุคคลอื่นอีกไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นนอกจากทรัพย์ที่ถูกโจทก์นำยึดไว้ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยในทรัพย์สินของจำเลยที่ถูกโจทก์นำยึดได้แม้ผู้ร้องสามารถเอาชำระจากทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่นำมาจำนองประกันหนี้จำเลยได้ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเฉลี่ยทรัพย์บังคับคดี: เงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 และการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่น
คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต้องบรรยายข้อสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคแรก โดยย่อให้ได้ความว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยในคดีเรื่องอื่น และขอให้ศาลอนุญาตให้เข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่มีการออกหมายบังคับคดีนี้ สำหรับเงื่อนไขตามมาตรา 290 วรรคสี่ เป็นกำหนดเวลาที่ผู้ร้องต้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เข้ามาในทันทีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าผู้ร้องได้ยื่นเข้ามาในกำหนดเวลาหรือไม่ ถ้ายื่นเกินกำหนดศาลก็ชอบที่จะยกคำร้องจึงไม่ใช่ข้อที่ผู้ร้องต้องบรรยายมาในคำร้อง ตามคำร้องของผู้ร้องระบุว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแต่จำเลยไม่มีเงินจะชำระหนี้ให้ผู้ร้องได้ผู้ร้องจึงมาร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ พอแปลได้ว่า ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลย ถือได้ว่าผู้ร้องอ้างในคำร้องแล้วว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 290 วรรคสองแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4143/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คประกัน ถือเป็นการชำระด้วยทรัพย์สินอื่น ไม่ต้องมีหลักฐานการใช้เงิน
ในกรณีที่การชำระหนี้ด้วยการใช้เงินจึงจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง ส่วนการชำระหนี้โดยการใช้เงินตามเช็คที่จำเลยประกันหนี้ไว้กับโจทก์ เป็นการชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทน และโจทก์ยอมรับไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หนี้ย่อมระงับไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบังคับคดีจำนอง: บังคับคดีเอาจากทรัพย์จำนองเท่านั้น หากสัญญามิได้ระบุขยายไปยังทรัพย์สินอื่น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำที่ดินมีโฉนดมาจำนองไว้กับโจทก์จำเลยรับเงินไปครบถ้วนในวันทำสัญญาจำนอง ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยกู้เงินอีกต่อไป โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้และบังคับจำนอง และคำขอบังคับท้ายฟ้อง โจทก์ขอว่า หากจำเลยไม่ชำระเงินให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์แสดงว่าโจทก์ฟ้องบังคับจำนองประสงค์จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์จำนองเท่านั้น
โจทก์นำสืบพยานหลักฐานว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยถือหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมด้วย เมื่อสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความว่าหากโจทก์บังคับชำระหนี้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ก็ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นได้ด้วย ดังนี้ เมื่อโจทก์บังคับคดีเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ได้เงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันตามคำพิพากษา โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้อีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการบังคับคดีจำนอง: สิทธิเรียกร้องจากทรัพย์สินอื่นเมื่อขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้
คำฟ้องโจทก์ที่มีสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้หากไม่ชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์เป็ฯการฟ้องบังคับจำนองเมื่อสัญญาจำนองไม่มีข้อความว่าหากโจทก์บังคับชำระหนี้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ ก็ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นได้ด้วย ดังนั้นการที่โจทก์บังคับคดีเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ได้เงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกัน เงินที่ยังขาดจำนวนอยู่โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองได้อีกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733.(ที่มา-ส่งเสริม)
of 3