พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9820/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าทดแทนการเช่ากรณีเวนคืน: ความเสียหายโดยตรงจากการขาดประโยชน์ใช้สอยทรัพย์สินที่เช่า
เงินค่าทดแทนในการเช่าที่ดิน โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างที่ต้องเวนคืนอันเป็นเหตุให้ผู้เช่าต้องออกจาก ทรัพย์สินก่อนสัญญาเช่าระงับตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 18 (3) เป็นเงินค่าทดแทนความเสียหายที่ผู้เช่าต้องขาดประโยชน์แห่งสิทธิการเช่าหรือเสียประโยชน์จากการที่ไม่ได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าตลอดระยะเวลาก่อนสัญญาเช่าระงับ กรณีเช่นนี้ความเสียหายจริงต้องเป็นความเสียหายโดยตรงที่เกิดจากการขาดประโยชน์ แห่งสิทธิการเช่าหรือเสียประโยชน์จากการที่ไม่ได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าตลอดระยะเวลาก่อนสัญญาเช่าระงับเท่านั้น ค่าเช่าที่โจทก์อ้างว่าจะต้องไปเช่าที่อยู่ใหม่ที่ต้องเสียค่าเช่าสูงกว่าค่าเช่าเดิมเป็นเวลา 21 ปี มิใช่ความเสียหายโดยตรงจากการเสียประโยชน์จากการที่ไม่ได้ใช้ตึกแถวที่เช่า ไม่เข้ากรณีที่จะเรียกเงินค่าทดแทนการเช่าตามมาตรา 18 (3) ได้ แต่การที่โจทก์ขาดประโยชน์เพราะไม่ได้ใช้ตึกแถวที่เช่าประมาณ 21 ปีนั้น เป็นความเสียหายจริงตามมาตรา 18 (3) โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนในการเช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับปรุงทรัพย์สินเช่าไม่ทำให้เกิดสิทธิเกินกว่าสัญญาเช่า
การที่จำเลยออกเงินตกแต่งทำหินขัดพื้นชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองทำผนังกั้นห้อง ต่อเติมทำห้องน้ำชั้นที่สอง และต่อเติมพื้นที่ชั้นที่สามครึ่ง เป็นการกระทำเพื่อความสวยงามและเพื่อความสะดวกสบายในการใช้สอยทรัพย์สินที่จำเลยเช่าจากโจทก์เท่านั้น หามีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษที่จะทำให้จำเลยมีสิทธิยิ่งไปกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่ เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วและโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยเช่าต่อ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้เช่าและผู้ให้เช่าต่อความเสียหายของทรัพย์สินที่เช่า และการหักกลบลบหนี้
จำเลยได้เช่าโป๊ะเหล็กพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ประจำโป๊ะจำนวน 1 ลำ ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 177,000 บาท และเช่าเครื่องกว้านพร้อมเครื่องยนต์จำนวน 1 ชุด ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 7,500 บาท รวมค่าเช่าเดือนละ 184,500 บาท ผู้เช่ามีหน้าที่ใช้ทรัพย์สินที่เช่าด้วยความระมัดระวังตามประเพณีนิยม และมีหน้าที่สงวนรักษาทรัพย์สินที่เช่าเสมอกับที่วิญญูชนพึงสงวนรักษาทรัพย์สินของตนเอง การที่โจทก์ผู้ให้เช่าได้รับทรัพย์สินที่เช่ากลับคืนมา แต่ทรัพย์สินที่เช่าดังกล่าวได้รับความเสียหายและชำรุด โจทก์ทำการซ่อมแซมโป๊ะและเครื่องกว้านที่ชำรุดเสียหาย แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าความเสียหายดังกล่าวเกิดจากความผิดของจำเลยผู้เช่า ดังนี้จึงฟังได้ว่าความชำรุดบกพร่องดังกล่าวเกิดจากการที่จำเลยผู้เช่าใช้ทรัพย์สินที่เช่าโดยชอบ โจทก์ผู้ให้เช่าย่อมต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาเช่า และโจทก์ต้องจัดการซ่อมแซมทุกอย่างบรรดาซึ่งเป็นการจำเป็นขึ้น ตาม ป.พ.พ.มาตรา 550 โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าซ่อมโป๊ะและเครื่องกว้านจากจำเลยได้
เมื่อเลิกสัญญาเช่าแล้ว โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการลากจูงโป๊ะที่ให้จำเลยเช่ากลับมายังอู่ของโจทก์ ตามที่โจทก์อ้างมีข้อความระบุว่า โจทก์จะให้เรือยนต์ไปลากโป๊ะเอง แสดงว่าโจทก์สละสิทธิที่จะให้จำเลยลากโป๊ะคืนโจทก์ โจทก์จึงเรียกค่าลากโป๊ะ จากจำเลยไม่ได้
จำเลยค้างชำระค่าเช่าโป๊ะแก่โจทก์เป็นเงิน 313,650 บาทสำหรับรายการที่จำเลยอ้างว่าได้จัดซื้ออุปกรณ์ที่ใช้กับเครื่องกว้านทดแทนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่พนักงานของโจทก์ผู้ให้เช่าได้ทำสูญหายไป เช่น แบตเตอรี่ เชือกสลิงและกิ๊ปจับสลิง รวมเป็นเงิน 66,530 บาท นั้น เมื่อปรากฏว่าพนักงานของโจทก์ได้ทำงานให้จำเลยและอยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลย กรณีจึงถือว่าความสูญหายหรือบุบสลายเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่าเพราะความผิดของผู้เช่าหรือของบุคคลซึ่งอยู่กับผู้เช่า ตาม ป.พ.พ.มาตรา 562 วรรคแรก ดังนั้นเมื่อเกิดความเสียหายในส่วนนี้ขึ้น จำเลยจะเรียกร้องความเสียหายจากโจทก์ไม่ได้ และจะนำค่าเสียหายดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้จากโจทก์ไม่ได้
เมื่อเลิกสัญญาเช่าแล้ว โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการลากจูงโป๊ะที่ให้จำเลยเช่ากลับมายังอู่ของโจทก์ ตามที่โจทก์อ้างมีข้อความระบุว่า โจทก์จะให้เรือยนต์ไปลากโป๊ะเอง แสดงว่าโจทก์สละสิทธิที่จะให้จำเลยลากโป๊ะคืนโจทก์ โจทก์จึงเรียกค่าลากโป๊ะ จากจำเลยไม่ได้
จำเลยค้างชำระค่าเช่าโป๊ะแก่โจทก์เป็นเงิน 313,650 บาทสำหรับรายการที่จำเลยอ้างว่าได้จัดซื้ออุปกรณ์ที่ใช้กับเครื่องกว้านทดแทนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่พนักงานของโจทก์ผู้ให้เช่าได้ทำสูญหายไป เช่น แบตเตอรี่ เชือกสลิงและกิ๊ปจับสลิง รวมเป็นเงิน 66,530 บาท นั้น เมื่อปรากฏว่าพนักงานของโจทก์ได้ทำงานให้จำเลยและอยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลย กรณีจึงถือว่าความสูญหายหรือบุบสลายเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่าเพราะความผิดของผู้เช่าหรือของบุคคลซึ่งอยู่กับผู้เช่า ตาม ป.พ.พ.มาตรา 562 วรรคแรก ดังนั้นเมื่อเกิดความเสียหายในส่วนนี้ขึ้น จำเลยจะเรียกร้องความเสียหายจากโจทก์ไม่ได้ และจะนำค่าเสียหายดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้จากโจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายต่อทรัพย์สินเช่าหลังสัญญาประนีประนอม ศาลตัดสินได้หากเป็นคนละมูลเหตุ
จำเลยเช่าตึกแถวของโจทก์ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องคดีขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในการใช้ตึกแถวจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมออกจากตึกแถว และยอมใช้ค่าเสียหาย ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยบรรยายฟ้องว่า ในวันที่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวที่เช่า โจทก์ได้ตรวจดูอาคารปรากฏว่ากระเบื้องกันสาดด้านหน้าถูกรื้อออกหมด กระเบื้องหลังคาถูกรื้อไปบางส่วนประตูเหล็กด้านหน้าชำรุดเสียหาย ซึ่งจำเลยมีเจตนาก่อให้เกิดความเสียหาย มิใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติดังนี้ คำบรรยายฟ้องดังกล่าวย่อมคลุมถึงความเสียหายทั้งที่เกิดจากสัญญาเช่า ซึ่งจำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 562 และเกิดจากการละเมิดตาม มาตรา 420 เมื่อศาลฟังว่าการที่ประตูเหล็กผุกร่อนนั้น มิใช่เพราะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่เป็นเพราะจำเลยไม่สงวนรักษาทรัพย์สินที่เช่าจึงให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซ่อมแซม จึงตรงตามประเด็นแล้ว ไม่เป็นการนอกฟ้องและสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนเป็นเรื่องจำเลยไม่คืนทรัพย์ที่เช่า อันเป็นค่าเสียหายคนละมูลกรณีกับค่าเสียหายเกี่ยวกับประตูเหล็กในคดีนี้ ค่าเสียหายในคดีนี้จึงไม่ระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไถ่ถอนขายฝากและการเกิดสิทธิในทรัพย์สินเช่า: ค่าเช่าค้างชำระจนกว่าจะวางเงินไถ่ถอน
ผู้ขายฝากได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินบ้านเรือนไว้แก่ผู้ซื้อและได้ทำสัญญาเช่ากับผู้ซื้อไว้ด้วย ต่อมาผู้ขายขอไถ่ถอนภายในกำหนดสัญญาขายฝาก ผู้ซื้อไม่ยอมให้ไถ่ผู้ขายฝากจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับ ในที่สุดศาลบังคับให้ผู้ซื้อรับไถ่การขายฝาก หลังจากนั้นต่อมาอีกผู้ขายฝากจึงได้ชำระ(วางเงิน)ค่าไถ่ถอนการขายฝากต่อศาล เช่นนี้ผู้ขายฝากต้องรับผิดชำระค่าเช่าและค่าเสียหายตั้งแต่วันเริ่มต้นเช่าจนถึงวันที่ชำระ(วางเงิน)ค่าไถ่ถอนการขายฝาก(ไม่ใช่เพียงถึงวันที่ศาลพิพากษาให้รับไถ่ถอนการขายฝาก) เพราะระหว่างที่ยังไม่ได้วางเงินค่าไถ่ถอนการขายฝาก ยังต้องถือว่าที่ดินบ้านเรือนที่ขายฝากเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับซื้อฝากอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 845/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้รับซื้อทรัพย์สินเช่า: ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้ตามมาตรา 16(6)
คำว่าผู้ให้เช่าเดิมในมาตรา 16(6) มิได้หมายความเฉพาะแต่ผู้ให้เช่าเดิมแต่ผู้เดียวเท่านั้น ย่อมหมายถึงผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ด้วย
ผู้รับซื้อกรรมสิทธิ์บ้านเช่ามาจากผู้ให้เช่าเดิม เมื่อได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าให้เข้าอยู่แล้วย่อมฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2490)
ผู้รับซื้อกรรมสิทธิ์บ้านเช่ามาจากผู้ให้เช่าเดิม เมื่อได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าให้เข้าอยู่แล้วย่อมฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2490)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2362/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองทรัพย์สินในระหว่างฟื้นฟูกิจการ: ข้อจำกัดสิทธิเจ้าหนี้บังคับคดีต่อทรัพย์สินเช่า
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/12 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับของมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอ หรือจำหน่ายคดี หรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ หรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด... (5) ห้ามมิให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้..." เป็นบทกฎหมายที่กำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่มีการฟื้นฟูกิจการให้ดำเนินกิจการต่อไปได้ หาได้มีผลต่อบุคคลอื่นที่มิได้เป็นลูกหนี้ที่มีการฟื้นฟูกิจการด้วยไม่ จึงมีข้อจำกัดสิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาห้ามบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ เมื่อปรากฏว่าระหว่างฟื้นฟูกิจการนั้นผู้ร้องเป็นเพียงผู้เช่าที่ครอบครองเครื่องจักรซึ่งเป็นทรัพย์สินของจำเลย เครื่องจักรดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่อยู่ในกองทรัพย์สินของผู้ร้องที่จะได้รับความคุ้มครองเพื่อการฟื้นฟูกิจการ ดังนั้นโจทก์ทั้งเจ็ดร้อยห้าสิบเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จึงมีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินของจำเลยตามหมายบังคับคดีได้ กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนการยึดทรัพย์สินตามคำร้อง